ผู้เขียน: admin

มนุษย์ต่างดาวมาโลกเพื่อทรัพยากร

ในจักรวาลที่มีทฤษฎีออกมาว่าเป็นสถานที่ที่ไม่มีระยะเป็นที่สิ้นสุด หาจุดเริ่มต้น และจุดสิ้นสุดไม่ได้ จึงกลายเป็นระยะทางอนันต์ จักรวาลเรียกได้ว่ามีขนาดใหญ่ กว้างใหญ่ไพศาล และโลกของเราก็เปรียบเสมือนจุดเล็กๆของจักรวาล มองผิวเผินก็เหมือนดวงดาวทั่วไป ที่อาจจะไม่มีความสำคัญอะไรกับจักรวาลเลยก็เป็นได้ โลกของเรานั้นก่อกำเนิดขึ้นมาจากทฤษฎีบิ๊กแบง

ซึ่งเป็นการระเบิดตัวของวัตถุครั้งใหญ่ในจักรวาล จึงทำให้มีชิ้นส่วนมากมายกระจายตัวออกไปกันในคนละทิศละทาง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือโลก มีผู้ที่กล่าวว่าแท้จริงแล้วจักรวาลไม่ได้สร้างโลก ไม่ได้ตั้งใจจะสร้าง แต่เกิดจากการระเบิดตัวของวัตถุเท่านั้น แล้วเคยคิดกันหรือไม่ว่าการระเบิดครั้งนี้ที่ทำให้เกิดโลก จะโลกของเราแค่ดาวดวงเดียว ชิ้นส่วนอื่นๆที่เกิดมาจากการระเบิดเช่นเดียวถูกกระจัดกระจายไปทั่วจักรวาล

จะกลายเป็นโลกเหมือนกับโลกของเราหรือไม่ แล้วถ้ามันมีดาวโลกดวงอื่นเกิดขึ้นมาจริงๆ นั้นก็เท่ากับว่าจะต้องมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เช่นเดียวกันใช่หรือไม่ หรือที่ใครหลายๆคนนั้นก็เรียกว่า มนุษย์ต่างดาว เรื่องของมนุษย์ต่างดาวถูกเล่าขานมานานมาแล้ว จนในปัจจุบันเองก็มีการพูดคุยและโต้เถียงของเรื่องมนุษย์ต่างดาว และก็ต่างพากันตั้งข้อสันนิฐานของการมาเยือนดาวโลกของมนุษย์ต่างดาวต่างๆนานา โดยมีแนวความคิดที่ว่า ถ้าโลกของมนุษย์ต่างดาวมาจากการระเบิดครั้งใหญ่เช่นเดียวเดียวกับดาวโลกของเรา

นั้นก็หมายความว่า ดาวโลกของเรากับดาวโลกของมนุษย์ต่างดาวนั้นเหมือนกัน แต่โลกของมนุษย์ต่างดาวนั้นมีความวิวัฒนาการที่ไวกว่า จึงสามารถสร้างเทคโนโลยีที่ทำให้เดินทางมายังโลก แต่เพราะความเหมือนกันของโลกเราและโลกของมนุษย์ต่างดาวนั้นก็คือ ทรัพยากร เชื่อกันว่าด้วยความที่ดาวโลกของมนุษย์ต่างดาวนั้นมีความพัฒนาอย่างรวดเร็ว

แหล่งทรัพยากรของดาวโลกของมนุษย์ต่างดาวจึงลดน้อยลงหรือใกล้จะหมดแล้ว และดาวโลกของเราก็มีแหล่งทรัพยากรที่คล้ายกัน มนุษย์ต่างดาวจึงมีความต้องการที่นำทรัพยากรที่จำเป็นต่อดาวโลกของเขากลับไปใช้ เพราะยังเห็นว่าโลกของมนุษย์เรานั้นยังไม่มีการพัฒนาเท่ากับโลกของเขานั้นเอง แต่ถึงอย่างไรนั้นเรื่องเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างจริงจัง

ว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ต่างดาวนั้นอยู่จริงในจักรวาลอันกว้างใหญ่แห่งนี้หรือไม่ มนุษย์บนโลกเราเองก็หวังแต่เพียงว่าในอนาคตข้างหน้าวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีจะสามารถสร้างจานบินที่คล้ายกับมนุษย์ต่างดาวได้ เพื่อที่จะได้ออกไปสำรวจจักรวาลได้ทั่วและไกลมากยิ่ง และอาจจะค้นพบหรือคำตอบในเรื่องของดาวโลกดวงอื่นและสิ่งมีชีวิตอื่นที่นอกจากโลกของเราในจักรวาลแห่งนี้

 

 

สนับสนุนโดย  entaplay มือถือ

สิ่งมีชีวิตแรกบนโลกที่เกิดจากฝนเลือด

ถ้าหากว่าคุณเป็นหนึ่งคนชอบวิทยาศาสตร์ในด้านพันธุศาสตร์และประวัติศาสตร์ของโลก คาดว่าเรื่องนี้คงจะเป็นที่น่าสงสัยในกลุ่มคนเหล่านี้อย่างแน่นอน เคยตั้งคำถามหรือไม่ว่า สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นบนโลกสิ่งแรกนั้นคืออะไร?

คุณคงไม่ตอบว่าไดโนเสาร์หรือมนุษย์หรอกใช่หรือไม่ ยิ่งมนุษย์แล้วนั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะมนุษย์นั้นมีการวิจัยออกมาแล้วว่า พึ่งถือกำเนิดเกิดขึ้นมาเพียงแค่แสนกว่าปีเท่านั้น หากเทียบกับโลกที่มีอายุมานานมากกว่าหลายพันล้านปี สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตแรกบนโลก นั้นก็คือฟอสซิลของไดโนเสาร์ที่เป็นสัตว์ยุคโบราณ ที่มีชีวิตอาศัยอยู่บนโลกเมื่อหลายพันล้านปีที่แล้ว แต่เพราะมีการสันนิฐานว่า ได้มีอุกกาบาตขนาดใหญ่พุ่งชนโลก ทำให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งสิ่งมีชีวิตยุคนั้นนั่นก็คือไดโนเสาร์สูญพันธุ์

และเกิดการแผ่นดินแยกที่แต่เดิมพื้นแผ่นดินบนโลดนั้นเป็นแผ่นเดียวกัน จนแยกออกจากกัน หากสังเกตจากแผนที่ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าแต่ละทวีปนั้นมีรอยต่อที่สามารถเชื่อมกันได้ ซึ่งเชื่อว่าเป็นรอยต่อเดิมก่อนแผ่นดินจะแยกออกจากกัน หากพูดถึงสิ่งมีชีวิตแรกบนโลกอย่างไดโนเสาร์ จะมีใครเชื่อหรือไม่ว่ามันคือสิ่งมีชีวิตแรกจริงๆ ถ้าเป็นเช่นแล้วไดโนเสาร์เกิดมาจาดอะไร ตามหลักทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกที่เกิดมานั้นจะต้องมีที่มา ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นมาได้จากการไม่มีหรอก

มันจึงกลายเป็นคำถามที่หลายคนสงสัยและมักจะถามอยู่เสมอเลยคือ อะไรคือสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดเกิดขึ้นบนโลกสิ่งแรก ข้อสงสัยนี้เป็นปริศนามานานจนเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นนั้นก็คือ ฝนเลือด โดยปกติแล้วน้ำฝนที่เราเห็นนั้นมักจะเป็นสีขาวใส สีเทาบางเพราะมีฝุ่นปะปนมาด้วย แต่ ฝนเลือด คือฝนที่มีสีแดงเหมือนกับเลือดจนน่าแปลกใจ

นักวิจัยจึงได้ทำการเก็บฝนเลือดเพื่อนำไปตรวจสอบว่า ทำไมฝนถึงเป็นสีแดงเลือดเช่นนี้ และผลสรุปก็ออกมาว่า ในน้ำฝนสีแดงเลือดนี้ได้ตรวจพบเซลล์สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ซึ่งเซลล์ที่ตรวจพบนั้นเป็นเซลล์ที่แปลก เพราะไม่สามารถตรวจหา DNA เซลล์นั้นได้ หมายถึง DNA ของเซลล์ในน้ำฝนสีแดงเลือดนี้ไม่ปรากฏข้อมูลที่อยู่บนโลก เป็น DNA ที่ไม่มีอยู่บนโลกนี้

ร่วมกับแนวคิดที่ว่า สิ่งมีชีวิตแรกบนโลกคืออะไรแล้วนั้น นักวิจัยได้ตั้งข้อสันนิฐานว่า เมื่อหลายพันล้านปีก่อนได้เกิดปรากฏการณ์ฝนเลือดเช่นนี้ขึ้น ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิต และถ้าหากเป็นเช่นนั้นทำไมถึงบอกว่า ไม่เคยพบเซลล์นี้บนโลกใบนี้ นั้นเป็นข้อสันนิฐานที่เพิ่มเข้ามาว่าอาจจะมีปรากฏการณ์ฝนเลือดเกิดขึ้นหลายครั้ง

และในแต่ละครั้งเซลล์ที่ปะปนลงมานั้นไม่ซ้ำ รวมไปถึงเหตุการณ์ที่ทำให้โลกเกิดความเปลี่ยนแปลง เซลล์ต่างๆนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ เรื่องของฝนเลือดนั้นยืนยันแน่นอนแล้วว่าพบเซลล์ที่ไม่แสดง DNA บนโลกจริง แต่ในเรื่องของการเป็นสิ่งมีชีวิตแรกบนโลกนั้นยังไม่ได้การยืนยันอย่างแน่นอน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ยังคงต้องค้นหาคำตอบกันต่อไป

 

 

สนับสนุนโดย  entaplay login

ความฝันคืออะไร?

สำหรับเรื่องของความฝันเราเชื่อว่าทุกคนที่ได้ดูหรือแม้แต่คนที่ยังไม่ได้ดูทุกคนก็จะต้องเคยฝันและเราเคยที่มานั่งสงสัยหรือเปล่าว่าทำไมคนเราถึงจะต้องฝันบางทีมันก็อาจจะเกิดมาจากร่างกายของเราเหนื่อยล้าหรือในบางทีก่อนที่เราจะนอนเราได้คิดเรื่องอะไรคิดมากเรื่องนู้นเรื่องนี้จนทำให้ร่างกายของคนเราได้ตอบสนองในสิ่งที่เราได้นึกคิดที่อยู่ในจิตใจลึกๆมันก็เลยทำให้เราฝันขึ้นมา

ซึ่งถามว่าเรื่องนี้ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วมันถูกไหม มันถูกครึ่งหนึ่งและยังไม่ถูกอีกครึ่งหนึ่งจากที่เราได้ไปศึกษามาหากได้ย้อนความกลับไปความฝันนั้นมันคือการแสดงออกทางความรู้สึกนึกคิดและเหตุการณ์ต่างๆที่มันได้เข้ามาในหัวสมองของคนเราได้ตอนหลับและในหนึ่งคืนเราสามารถฝันได้มากกว่า1ครั้งหรือบางทีเราอาจจะฝันมากกว่า2ครั้งคุณเคยเป็นกันหรือเปล่าอยู่ดีๆ

เราฝันเรื่องนี้และอีกสักพักหนึ่งเราดันไปฝันอีกเรื่องหนึ่งแบบนี้เขาเรียกกันว่าเราฝันหลายครั้งและจะถามว่าปัจจัยสาเหตุที่ทำให้เกิดก็อย่างมที่เราได้คิดเล่นก็คือจากสภาพร่างกายที่เหนื่อยล้าหรือสิ่งเรานึกคิดก่อนนอนหรือวิตกกังวลมันเลยทำให้อยู่ในก้นของจิตใจเราและความฝันมันก็ได้เกิดขึ้นมาจากที่สมองของเราได้ประมวลผลนั้นขึ้นมาตอนนอน

โดยข้อมูลต่อจากนี้มันได้เป็นหลักการของความฝัน โดยเขาได้บอกเอาไว้ว่าความหมายของความฝันซึ่งมันก็ได้มานากคำยินดีเสียงดนตรีซึ่งสิ่งที่เราได้ฝันออกมามันจะสามารถที่จะเป็นไปได้ทุกรูปแบบไม่ว่ามันจะเป็นรูปร่างน่าตาหรือสถานที่หรืออะไรอย่างงี้มันก็เป็นได้หมดหรือถ้าใครที่มีความฝันแรงๆหน่อยถึงขนาดที่ว่าสามารถจับต้องได้และสามารถรับรู้กลิ่นหรือรับรู้รสชาติได้แต่ปกติมนุษย์ทั่วไปที่ได้ฝันกันก็จะฝันเห็นภาพซึ่งจะมีมนุษย์น้อยคนมากที่จะฝันว่ารับรู้รสชาติหรือสามารถที่จะรับกลิ่นได้

บุคคลพวกนั้นก็จะจัดให้อยู่ในบุคคลพิเศษซึ่งในอดีตที่ผ่านมาได้มีนักเขียนคนหนึ่งเขาได้กล่าวเอาไว้ว่าเธอได้มีความรุนแรงที่มีความเกี่ยวข้องกับนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่ได้ใช้เครื่องจักรชนิดหนึ่งที่ทำให้สัตว์ได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้และหลังจากที่เธอนั้นตื่นขึ้นมาได้และหลังจากที่เธอได้ตื่นขึ้นมาจากความฝันนี้เธอก็ได้เก็บบเอาเรื่องความฝันตรงนี้มาเขียนหนังสือเกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์คนนั้นโดยหนังสือเล่มนี้ได้มีชื่อว่าFrankenstein

 

 

สนับสนุนโดย  สูตร บาคาร่า next88

โลกหยุดหมุน ดวงจันทร์พุงชนโลก

ถ้าวันหนึ่งโลกหยุดหมุนจะเกิดอะไรขึ้น? มีใครพอที่ทราบเรื่องนี้หรือไม่? ที่หลายๆคนไม่ทราบนั้นก็ไม่แปลก เพราะขนาดในทางของวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถให้คำยืนยันได้ว่า ถ้าโลกหยุดหมุนแล้วอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่มีผลกระทบต่อโลกอย่างแน่นอนนั้นก็คือเรื่องของเวลา และการสูญเสียของสนามแม่เหล็ก และได้มีการตั้งสมมติฐานว่า ถ้าหากโลกของเรานั้นหยุดหมุน เวลาก็จะเดินช้าลงโดยปกติแล้วใน 1 วัน จะเท่ากับ 24 ชั่วโมง เปลี่ยนเป็น 1 วัน เท่ากับ 365 วัน

ซึ่งเป็นระยะเวลานานมากที่เราจะได้พบความช่วงเวลาในตอนกลางคืนแล้วเช้าวันใหม่ ในส่วนของเรื่องสนามแม่เหล็กก็คือ ถ้าหากเราสูญเสียสนามแม่เหล็กไปจะทำให้รังสีและลมสุริยะเข้ามาทำลาย ซึ่งทำให้โลกมีอากาศที่เป็นพิษ ทำให้สิ่งมีชีวิตบนโลกทั้งหมดไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ นอกจากนี้ยังได้มีการสันนิฐานถึงปรากฏการณ์ต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นได้ถ้าหากว่าโลกหยุดหมุนอย่างการลอยตัว

สิ่งของทุกอย่างที่อยู่บนพื้นรวมถึงมนุษย์ด้วยนั้น จะลอยขึ้นสู่อากาศ และมีแรงเหวี่ยงทำให้ให้ทุกอย่างที่ลอยอยู่นั้นถูกเหวี่ยงไปอย่างรวดเร็ว พลังงานบนโลกมีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลทำให้น้ำทะเลและมหาสมุทรยกตัวสูงขึ้นเกิดเป็นคลื่นยักษ์สึนามิ ที่จะทำลายล้างพื้นที่ทั้งหมดที่ติดกับพื้นน้ำ เกิดลมพายุขนาดรุนแรง ส่งผลให้ชั้นบรรยากาศทุกชั้นของโลกมีความแปรปรวน การไหลเวียนของอากาศมีความรุนแรง น้ำที่อยู่ในเขตของเส้นศูนย์สูตรจะเกิดแรงเหวี่ยงทำให้กินพื้นที่ของแผ่นดิน

จนแผ่นดินแยกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ลอยไปทางขั้วโลกเหนือ และ ขั้วโลกใต้ เป็นจุดกำเนิดทวีปใหม่ที่จะถูกเรียกชื่อใหม่โดยไม่ได้แบ่งทวีปเหมือนในปัจจุบัน ชื่อใหม่ก็คือ ทวีปเหนือ และ ทวีปใต้ ทั้งนี้ฤดูกาลก็จะเหลือแค่ 2 ฤดูเท่านั้น คือ ฤดูร้อน กับ ฤดูหนาว ซึ่งในแต่ละฤดูจะมีระยะเวลาเท่ากันคือ 6 เดือน การเปลี่ยนแปลงของโลกจะคล้ายกับดาวพุธที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งคือ ฝั่งร้อน และ ฝั่งหนาว ทั้งสองฝั่งไม่มีวันที่ได้สัมผัสกันแหละเพราะถูกแบ่งโดยชัดเจน จากการที่สนามแม่เหล็กหายไปทำให้สภาพอากาศบนโลกมีแต่พิษ

ทางรอดของมนุษย์คือการลงไปอาศัยอยู่ในชั้นใต้ดินเท่านั้น และมีอีกหนึ่งข้อสันนิฐานเกี่ยวกับการที่โลกหยุดหมุนคือ มีความเป็นไปได้ที่ดวงจันทร์จะโคจรเข้ามาใกล้โลก จนในที่สุดก็จนโลก หากเป็นเช่นนั้นใต้ดินมนุษย์ก็ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ มีทางเดียวคือจะต้องย้ายถิ่นฐานออกไปอยู่ดาวดวงใหม่ เหตุการณ์เหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นในอีกหลานพันปีข้างหน้า

จนถึงเวลานั้นมนุษย์เองก็อาจจะสามารถค้นหาดวงดาวที่เหมือนกับโลกได้ มีเทคโนโลยีและวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ที่จะสามารพาประชากรบนโลกอพยพไปได้ ถึงอย่างไรแล้วเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ยังถือว่าเป็นเพียงแค่ข้อสันนิฐานอยู่ โปรดพิจารณาอย่างถีถ้วน

 

 

สนับสนุนโดย  entaplay

แบคทีเรียมันมาจากดวงจันทร์หรืออวกาศจริงหรือเปล่า?

สำหรับตรงนี้ตามข้อมูลมันยืนยันเพียงแค่ว่าบนดวงจันทร์ของเราที่เขาได้ขึ้นไปสำรวจกันมันได้มีองค์ประกอบของน้ำอยู่แต่มันไม่เจอสิ่งที่มันได้มีชีวิตจากนั้นเขาก็เลยบอกว่าแบคทีเรียตรงนี้ที่เขาได้เชื่อกันว่ามันได้มาจากอวกาศหรือว่ามันได้มาจากดวงจันทร์จริงๆแล้วมันมาจากตรงไหนแล้วแบคทีเรียตรงนี้มันอยู่รอดได้ยังไงในขณะที่โลกของเรายังร้อนอยู่ตรงนั้น

ซึ่งตรงนี้มันก็เลยเกิดทฤษฎีมากมายแต่สุดท้ายเราก็ยังหาคำตอบไม่ได้มันเป็นเพียงแต่ทฤษฎีเท่านั้นเอง และ มันได้มีอยู่อีกหนึ่งอย่างตามข้อมูลที่เราได้ไปหามาเราอยากจะบอกกับทุกคนที่ใครหลายๆคนที่กำลังเข้าใจผิดกันอยู่เกี่ยวกับที่ว่ามนุษย์คนเราจริงๆแล้ววิวัฒนาการมาจากลิงในความเชื่อตรงนี้ถือว่า ผิด จริงๆแล้วมนุษย์คนเราไม่ได้วิวัฒนาการมาจากลิงแต่มนุษย์คนเราได้เป็นเพียงหนึ่งสายพันธุ์ที่ได้มีความใกล้เคียงกันกับลิงและมีวิวัฒนาการแยกออกมานั่นเอง ซึ่งหลายๆคนก็อาจจะตั้งคำถามว่าแล้วบรรพบุรุษของมนุษย์เรามันคืออะไร ถ้าเอาตามข้อมูลที่เขาได้มีการเชื่อกันมันก็คือ โครมันยอง

และ จากคำถามตรงนี้ที่เขาได้ตั้งกันว่ามนุษย์คนเราเกิดมาได้ยังไงแล้ว โครมันยอง มาจากสายพันธุ์ไหนกันแน่หรือจริงๆแล้วมนุษย์คนเราอาจจะไม่ได้วิวัฒนาการเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติบนโลกและมันได้มาจากที่อื่นหรือเปล่าก็มันก็ได้ถูกตั้งขึ้นมาเรื่อยๆจนทำให้มีการถกเถียงกันตลอดเวลาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจนสรุปสุดท้ายตามข้อมูลที่เราได้หามาได้มันก็จะมีอยู่สามทฤษฎีด้วยกัน โดยทฤษฎีแรกนั้นมันก็ได้เป็นทฤษฎีที่เราได้กล่าวไปข้างต้นคือ สิ่งมีชีวิตของเราได้เกิดจากเศษอุกกาบาตที่มันได้มาจากดวงจันทร์และติดออกมาจากดวงจันทร์หรือติดออกมาตามอวกาศ

และได้หล่นเข้ามายังโลกแล้วก็ได้มีการวิวัฒนาการขึ้นมาเรื่อยๆจนได้เป็นร้อยล้านปีหรือพันล้านปีนั้นเอง ส่วนทฤษฎีที่สองมันได้เป็นทฤษฎีที่เราได้ตั้งมันขึ้นมาเองแล้วเราก็เคยพูดไปแล้วซึ่งเราจะข้อสรุปสั้นๆให้ฟังก็แล้วกันและเราก็ขอย้ำว่า โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชมและนี่มันได้เป็นความคิดส่วนตัวเท่านั้นคือทฤษฎีตรงนี้เราได้เรียกมันว่าทฤษฎีการเก็บเกี่ยวผลผลิตคือถ้าจะให้พูดให้เข้าใจง่ายๆ

และสรุปแบบสั้นๆอย่างสมมุติว่าเราเลี้ยงวัวเราเลี้ยงหมูเราเลี้ยงไก่เพื่ออะไรคำตอบนั้นก็คือเพื่อผลผลิตเพราะฉะนั้นแล้วเป็นไปได้หรือไม่ว่าจริงๆแล้วโลกของเรามันอาจจะถูกกำเนิดมาอยู่แล้วว่าเราจะต้องมาอาศัยอยู่บนโลกเราจะต้องมาวิวัฒโลกเราจะต้องมาดูแลโลกเหมือนกับการที่ว่าเราเลี้ยงไก่เพื่อให้เขาโตขึ้นแล้วเราก็ได้ผลผลิตจากเขา

 

 

ขอบคุณ  แทงบอล next88

กล้อง EPICมันก็สามารถที่จะเก็บภาพของโลกในขณะที่เกิดสุริยุปราคาเอาไว้ได้

ลำแสงสีน้ำเงิน

จากการเดินทางไปยังสถานีอวกาศนานาชาติในปี2015 นักบินอวกาศชาวเดนมาร์นามว่า แอนเดรียส์ โมเก็นเซ็น ได้บันนทึกภาพที่เรียกว่า “บลูเจ็ท” ไว้ได้ ซึ่งมันได้เป้นภาพของลำแสงสีน้ำเงินรูปทรงกรวยพุ่งผ่านชั้นบรรยากาศจากบริเวณที่เกิดพายุรุนแรง โดยสามารถมองเห็นได้จากนอกโลก ซึ่งลำแสงนั้นมันจะพุ่งขึ้นมาด้วยความเร็วถึง360kกม,/ชม.ด้วยระยะของละแสงที่พุ่งขึ้นสูงเกินกว่า30ไมล์ ก่อนที่จะหายไปในชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์เหล่านักวิจัยยังไม่มีใครรู้ถึงที่มาที่ไปของปรากฎการณ์นี้และยังคงเป็นปริศนาว่าเหตุใดลำแสงนั้นจึงเป็นสีฟ้าจนกระทั่งปัจจุบันหลายคนยังแคลงใจถึงการมีอยู่ของลำแสงนี้แต่นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่า ลำแสงนี้มันอาจจะเป็นการรวมและการแยกตัวกันระหว่างโมเลกุหลายชนิดในชั้นบรรยากาศนั่นเอง

แสงสีแดง

ภาพนี้ได้เป็นอีกหนึ่งภาพที่ถูกถ่ายไว้โดย โมเก็นเซ็น ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับบลูเจ็ทแต่สิ่งนี้จะเป็นรูปแบบของลำแสงไฟฟ้าแดงที่เกิดขึ้นอยู่เหนืออายุฟ้าคะนองในชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ โดยสิ่งนี้จะปรากฎขึ้นเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นและมีกจะถูกเมฆบัง จึงทำให้มองเห็นได้ยากและด้วยเหตุนี้การใองผ่านจากนอกโลกจึงเป็นทางที่มองเห็นได้ชัดที่สุดแต่แสงสีแดงนี้สามารถทำให้เกิดปรากฎการณ์ที่สามารถเห็นจากในโลกได้เช่นกันนั่นก็คือวงแหวนสีแดง ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อลำแสงนั้นไปกระทบชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์และนี่มันก็ได้เป็นภาพของปรากฎการณ์วงแหวนสีแดงที่ถูกถ่ายไว้โดยนักดาราศาสตร์นามว่า มาร์ติน โปเปค ในปี2017  ที่ได้เกิดขึ้นอยู่เหนือน่านฟ้าของสาธารณรัฐเช็ก ซึ่งเป็นภาพวงแหวนที่มีความกว้างถึง60ไมล์

ภาพหายากของดวงจันทร์

ในปี2016กล้องที่ติดตั้งอยู่บนดาวเทียมดิสคัฟเวอร์บังเอิญอยู่ในตำแหน่งที่สามารถถ่ายภาพหายากนี้ไว้ได้โดยเป็นภาพของดวงจันทร์ในอีกด้านที่ถ่ายด้วยกล้องEarth Polychromatc lmaging Camera (EPIC) ซึ่งมันได้อยู่ไกลจากโลกออกไปถึงหนึ่งล้านไมล์ในขณะที่ดาวเทียมDSCOVRทำหน้าที่เฝ้าสังเกตุการณ์พายุสุริยะส่วนกล้อง EPICจะทำหน้าที่ที่บันทึกภาพและส่งมายังโลกเพื่อให้นักวิทยาศาสตร์ทำการศึกษาต่อไปและเมื่อไม่นามานี้ด้านกล้อง EPICมันก็สามารถที่จะเก็บภาพของโลกในขณะที่เกิดสุริยุปราคาเอาไว้ได้ ซึ่งในเวลานั้นผู้คนที่อยู่บนโลกจะสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ที่ถูกดวงจันทร์บังแต่กล้องEPICสามารถที่จะบันทึกภาพเงาของดวงจันทร์ที่ตกกระทบลงมาบนโลกได้

 

สนับสนุนโดย  next88 login

เหตุการณ์ยูเอฟโอที่เบลเยียม

ยูเอฟโอที่เบลเยียม

ซึ่งได้มีวัตถุปริศนาที่ได้เคลื่อนตัวไปปรากฎอยู่เหนือทำเนียบขาวอาคารรัฐสภาสหรัฐ และฐานทัพอากาศแอนดรูส์ที่ได้มีการรายงานว่าพบวัตถุลึกลับที่ได้ปรากฎขึ้นมาในลักษณะเป็นลูกไฟสีส้มและยังได้มีอีกหนึ่งวัตถุปริศนาที่มันได้ลอยอยู่เหนือสถานีส่งคลื่นวิทยุและยังเชื่อว่ามันได้ทำการตรวจสอบการสื่อสารของทางฐานทักอากาศ

เนื่องจากวัตถุเหล่านั้น หายไปด้วยความเร็วสูงก่อนที่เครื่องบินขับไล่ เอฟ-94สตาร์ไฟร์จะเข้ามายังพื้นที่ต่อมาด้านโครงการบลูบุ๊คก้ได้ทำการจัดหมวดหมู่ของการพบเจอยูเอฟโอครั้งนี้ว่าเป็นเรื่อง “เท็จ” โดยอ้างว่าสิ่งที่มองเห็นนั้นเกิดจากการผกผันของอุณหภูมิที่เกิดขึ้นได้ยากแต่ทางด้านเจ้าหน้าที่ของทำเนียบขาวและซีไอเอกลับยังคงมีรายงานถึงการพบยูเอฟโอและต้องการให้ทำการสืบสวนเพิ่มเติม

เหตุการณ์เรือ ยูเอสเอส นิมิตซ์

ในช่วงปลายปี2017ถึงต้นปี2018โครงการะบุตัวตนของอากาศยานล้ำหน้าที่อาจเป็นภัยคุกคามของกระทรวงกลาโหมสหรัฐได้มีการแพร่ภาพฟุตเทจนี้สู่สาธารณชนเผยให้เห็นถึงภาพอิฟราเรดของการพบเจอยูเอฟโอที่ถูกพบโดยเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอฟโอ นิมิตซ์ เหนือมหาสมุทรแปซิฟิก ในปี2004 การพบเจอได้เกิดขึ้นอยู่หลายครั้ง

เมื่อเรดาร์ของเรือลาดตระเวน ยูเอสเอส พรินซ์ตัน สามรถตรวจจับอากาศยานปริศนาได้จากการสังเกตุการณ์พบว่า “วัตถุนั้นได้เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลันที่ความสูง80,000ฟุตและได้พุ่งลงมาเหนือมหาสมุทรก่อนจะหยุดอยู่ที่ความสูง20,000ฟุตหลังจากการพบเจอนั้นวัตถุปริศนาได้ไปปรากฎอยู่บนจอเรดาร์ของเครื่องบินขับไล่ เอฟเอ-18 ซุเปอร์ฮอร์เน็ท 

โดยได้มีการลงลายละเอียดเอาไว้ว่า “ขนาดของมันได้มีความยาวประมาณ30ถึง46ฟุต ไม่มีกระจกไม่มีประตูไม่มีส่วนหางไม่พบเครื่องยนต์หรือไอเสียจากยานแต่อย่างใด” ซึ่งวัตถุนี้ได้เคื่อนที่ด้วยความเร็วที่มากกว่า3.0มัคหรือมากกว่า3,600กิโลเมตร/ชั่วโมงหลังจากที่นักบินพยายามที่จะไล่ตามสุดท้ายยูเอฟโอนั้นได้เคลื่อตัวหนีออกไปด้วย

ความเร็วที่เร็วมากและได้หายวับไปกับตา ในเวลาไม่ถึงสองวินาทีทิ้งเอาไว้แต่เพียงความตกตะลึงให้กับนักบินผู้นั้น และ  ยูเอฟโอที่เบลเยียม  ซึ่งตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี1989 จนถึงเดือนเมษายน ปี1990 ได้มีการพบวัตถุปริศนาที่เป็นรูปทรงสามเหลี่ยมบินอยู่เหนือประเทศเบลเยียมทางเจ้าหน้าที่ได้รับรายงานมากกว่า1,000ครั้งว่าพบอากาศยานลึกลับ โดยส่วนมากจะลงลายละเอียดเอาไว้ว่า “ซึ่งนั้นมันเป็นวัตถุรูปทรงสามเหลี่ยม ที่มีแสงอยู่ด้านใต้โดยจะบินอยู่เหนือจากพื้นโลกไม่มาก และไม่มีเสียง” จากเหตุการณ์ประหลาดดังกล่าว มีผู้ที่สามารถบันทึกภาพไว้ได้

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนัน csgo

วัตถุที่ได้ลอยโคจรอยู่รอบโลก

สิ่งมีชีวิตนอกโลก?

ในปี2014ทางองค์กร Roscosmosได้รับข้อมูลบางอย่างที่น่าตกใจแต่ยังไม่มีการยืนยันถึงข้อเท็จจริงใดๆ โดยได้มอบข้อมูลให้กับแหล่งข่าวของรัสเซียที่มีชื่อว่าitar-Tass ซึ่งยังได้มีการรายงานว่า นักบินอวกาศรัสเซียพบร่องรอยของสิ่งมีชีวิตที่นอกสถานีอวกาศนานาชาติได้กล่าวกันว่าการค้นพบนี้เกิดจากการศึกษาคราบที่เกิดขึ้นอยู่นอกสถานมาเป็นเวลานานคาดว่ามีการเก็บตัวอย่างมาจากบานหน้าต่างของสถานีนั่นเอง

โดยเมื่อได้ทำการวิเคราะห์ลักษณะจุลชีพแล้วพบว่ามีความใกล้เคียงกับแพลงตอนที่ได้อยู่ในทะเลบนโลกจึงได้ทำให้เหล่านักวิทยาศาสตร์ต่างก็ได้แปลกใจว่าเหตุใดสิ่งมีชีวิตที่ควรจะอยู่ในทะเลถึงได้มาอยู่บนอวกาศเช่นนี้ได้และที่สำคัญมันมาจากไหน ซึ่งได้มีบางคนได้สันนิษฐานว่า สิ่งที่มีชีวิตนี้มันอาจจะติดมากับจรวดหรือบางทีมันอาจจะมาจากชั้นบรรยากาศโลกนั่นเอง

จากข้อมูลทางการศึกษาก่อนหน้านี้ที่เคยมีการค้นพบมีสิ่งมีชีวิตที่ยังลอยอยู่เหนือจากพื้นผิวโลกถึงประมาณ25ไมล์และในปี2017พบฟอสซิลแบบคทีเรียที่ได้มีอายุประมาณ4พันล้านปีจึงมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะมีสิ่งมีชีวิตจากอวกาศมาเยือนโลก เมื่อได้เป็นเช่นนี้มันจึงได้เกิดคำถามถึงสิ่งที่นักบินอวกาศชาวรัสเซียได้พบในปี2014แต่ทางนาซาเองเขาก็ได้กลับเพิกเฉยและได้ปฏิเสธที่มีความเกี่ยวกับสิ่งที่พบนี้ว่ามันไม่เคยมีรายงานเช่นนี้มาก่อน

ข้อมูลลับในถุงขยะ

ในครั้งแรกที่ได้เห็นสถานีอวกาศเมียร์ ของรัสเซีย ทางด้านนักบินอวกาศนาซาได้เปรียบเทียบว่าเหมือนกับเอารถโรงเรียนหกคันมามัดไว้รวมกันไว้และส่วนภายในของสถานีนั้นมันก็ไม่ได้มีสภาพที่ไม่ต่างไปจากภายนอก ซึ่งมันได้เต็มไปด้วยเครื่องมือที่ชำรุดและถุงขยะลอยไปมานอกจากนี้ยังได้มีการรายงานมาอีกว่าในระหว่างที่มีการปฏิบัติการนอกสถานี

 

มักจะมีวัตถุปริศนาที่ไม่สามารถระบุได้ปรากฏขึ้นทุกครั้งหลังภารกิจ โดยหลายคนได้เชื่อกันว่าสิ่งเหล่านี้นั้นมันคือขยะที่เหล่านักบินอวกาศทิ้งเอาไว้นอกยานแทนที่จะนำกลับมายังโลกทางด้านรัสเซียไม่เคยยอมรับว่าโยนขยะออกมาจากนอกสถานีแต่กลับมีข่าวลือที่ยืนยันได้ว่ามีการทิ้งขยะจริงโดยได้มีการตั้งข้อสันนิษฐานว่า แท้ที่จริงแล้วถุงขยะเหล่านี้อาจจะมีข้อมูลลับบางอย่างที่ไม่สามารถนำกลับมายังโลกได้นั้นเอง สำหรับแบล็คไนท์

นักวิจัยที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับยูเอฟโอได้กล่าวถึงดาวเทียมแบล็คไนท์ที่เชื่อว่าน่าจะโคจรรอบโลกมานานกว่า13,000ปีแม้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุนี้นั้นมีเพียงน้อยนิดแต่ว่าสิ่งนี้มีวงโคจรผ่านขั้วโลกโดยมาจากสิ่งมีชีวิตต่างดาว

 

สนับสนุนโดย  dewabet

หลายๆคนเชื่อว่าวัตถุปริศนาที่ตกมาในแอนทาร์กทิกาเป็นยูเอฟโอ

สำหรับจรวดลองมาร์ช5ได้ถูกพัฒนามาในปี2007 ซึ่งจะถือว่าได้เป็นจรวดเชื้อเพลิงเหลวในรูปแบบใหม่ของประเทศจีนถึงแม้ว่ามันอาจจะมีการระบุว่าจรวดดังกล่าวมันอาจจะถูกสร้างขึ้นเพื่อการสำรวจอวกาศแต่ทั้งนี้ก็ยังได้มีความกังวลว่ามันอาจจะมีการบรรทุกอาวุธขึ้นสู่อวกาศก็เป็นได้สำหรับจรวดลองมาร์ช5ก็ได้เปิดตัวครั้งแรกภายในปี2016ด้วยการนำเอามาทดสอบในการเดินทางที่ได้พร้อมกับมีการบรรทุกวัตถุลับบางอย่างขึ้นสู่อวกาศส่วนในการทำการทดลองของการบินครั้งที่สองเกิดขึ้นในช่วงปี2017แต่ในการทำการทดสอบนั้นมันกลับล้มเหลวมันได้ทำให้จรวดได้ตกลงสู่มหาสมุทร

กระสวยอวกาศเอนเดฟเวอร์

ในช่วงเดือนกันยายน ในปี2012 ซึ่งทางด้านนาซาเองก็ได้มีการทำการปลดระวางกระสวยของอวกาศของเอนเดฟเวอร์ซึ่งได้มีการนำเอาบรรทุกขึ้นไปบนหลังเครื่องบินโบอิง747 ซึ่งก็ได้บินออกมาจากศูนย์อวกาศเคนเนดี ในฟลอริดาเพื่อที่จะได้เข้าไปยังในฐานทัพของอวกาศเอ็ดเวิดส์ในแครฟอร์เนีย เนื่องจากว่าทางด้านกูเกิลเอิร์ธนั้น ซึ่งเขาได้สามารถจับรูปภาพในครั้งสุดท้ายของกระสวยอวกาศเอาไว้ได้

ในช่วงขณะที่กำลังบินอยู่เหนือเขตในการทำการทดลองทางการเหล่าทารไวท์แซนด์ที่ได้อยู่ทางด้านของรัฐนิวเม็กซิโกแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นที่มันยังได้มีความน่าแปลก ซึ่งเป็นจุดที่ได้อยู่ตรงบริเวณข้างด้านล่างของเครื่องบินที่มันได้ส่องแสงและมันได้มีการปรากฏรูปภาพขึ้นมาที่มันได้เป็นแสงที่มีสีน้ำเงิน ซึ่งได้มีการมองดูกันอย่างแน่ชัดกันแล้วว่ามันได้ดูเหมือนคล้ายๆกันกับเงาของเครื่องบิน นอกจากนี้ก็ยังได้มีเหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ยังได้ออกมาอธิบายอีกว่า สิ่งเหล่านี้ถือได้ว่ามันได้เป็นปรากฏการณ์เหตุการณ์ที่ปกติหลังจาก เมื่อได้มีการตรวจจับรูปภาพจากดาวเทียมจากด้านบนในช่วงที่วัตถุที่มันกำลังจะเคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็ว

วัตถุปริศนาในแอนทาร์กทิกา

สำหรับรูปภาพที่ได้มาจากในกูเกิลเอิร์ธภาพนี้มันยังเผยให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องของวัตถุบางอย่างที่มันได้ถูกฝังเอาไว้อยู่ใต้หิมะซึ่งมันได้เป็นสถานที่ที่ได้มีความห่างไกลไปจากเกาะเซาธ์จอร์เจียที่มันได้ตั้งอยู่ทางด้านทิศทางตอนเหนือของแอนทาร์กทิกาอีกทั้งนี้ด้วยลักษณะของวัตถุและรอยเส้นทางในการเกิดขึ้นภายในภาพมันอาจจะทำให้ดูเหมือนกับว่ามันได้ตกลงมาจากท้องฟ้า

และมันได้ลื่นไถลไปตามพื้นผิวของหิมะ ซึ่งในวัตถุเหล่านี้ที่มันน่าจะมีความยาวประมาณ60เมตรแต่ทั้งนี้สำหรับที่มาของมันก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่ดี โดยผู้คนที่ได้อยู่บนโลกออนไลน์หลายๆคนต่างก็ได้เชื่อกันว่าสิ่งนี้เป็นยูเอฟโอแต่มันก็ยังได้มีผู้ที่แย้งว่ามันอาจจะเป็นแค่เพียงหิมะถล่มที่ถูกจับภาพได้ด้วยความบังเอิญ

 

 

สนับสนุนโดย  sagame mobile

เรื่องมิติคู่ขนาดหรือ Mirror World

สำหรับเรื่องนี้มันได้เป็นหนึ่งในวิทยาศาสตร์ที่ในตอนนี้มันก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่ามันได้มีอยู่จริงหรือเปล่าสำหรับMirror Worldนั้นในความหมายของมันก็คือโลกมิติคู่ขนาด ซึ่งใครเคยดูหนังที่เกี่ยวกับโลกกกระจกและอันนี้เราต้องบอกก่อนเลยว่าเรานั้นไม่ได้ดูการ์ตูนมาจนเกินไปแต่ทีมผู้ที่สร้างการ์ตูนนี้เขาได้นำเอาทฤษฎีตรงนี้เอามาทำเป็นการ์ตูน คือโลกกระจกถ้าจะให้พูดกันตามตรงโลกกระจกนั้นมันก็คือโลกที่เหมือนอย่างกับโลกของเรา

โดยปกตินี่แหละแต่มันจะเป็นโลกที่สลับข้างแต่เป็นโลกที่ใช้คำว่าไม่มีใครอยู่ไม่มีใครเห็นไม่มีใครรับรู้หรืออะไรเลยและมันเคยมีหนึ่งทฤษฎีที่น่าสนใจเป็นอย่างมากที่รักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่เขาได้ออกมาบอกเอาไว้ว่าจริงๆแล้วโลกของเรานั้นมันได้มีโลกคู่ขนาดแล้วโลกคู่ขนาดนั้น

มันคือที่พักพิงของมนุษย์ต่างดาวเอเลี่ยนถามว่ามันพิสูจน์ได้หรือไม่เราขอบอกเลยว่ามันก็ยังพิสูจน์ไม่ได้แต่เราได้ลองมานึกถึงเหตุการณ์ที่มันได้เกิดขึ้นบนโลกเราในหลายๆอย่างยกตัวอย่างเช่นสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า  สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ามันอยู่ในแถบทะเลมันเป็นเหมือนเกาะอยู่สามเกาะแล้วก็เชื่อมโยงกันเป็นเส้นแล้วก็เอาเส้นมาขีดมันจะเป็นรูปสามเหลี่ยม

ซึ่งตรงจุดนั้นมันมีเหตุการณ์อยู่เยอะมากไม่ว่าจะเป็นเรือหายเครื่องบินหายซึ่งมันได้หายไปเลยจนทำให้คนได้คิดว่ามันได้ไปโพล่ในที่อีกมิติหนึ่งหรือเปล่าหรือว่ามันได้ไปมิติคู่ขนาดหรืออะไรยังไง ซึ่งเขาก็ได้ไปทำการสำรวจไปหาซากไปหาอะไร ซึ่งในทะเลเราบอกเลยว่ามันเป็นเรื่องยากมาก

แต่เชื่อหรือไม่ว่าเรือหรือว่าเครื่องบินนั้นที่มันได้หายไปในเบอร์มิวด้ามันไม่พบเห็นซากใดๆเลย ซึ่งมันหน้าเป็นใจอยู่มากๆ มันสามารถที่จะตั้งข้อสงสัยได้อยู่หลายอย่างหนึงมันอาจจะหายไปในขั้วมิติอื่นหรือเปล่า สองอันนี้ทางด้านนักวิทยาศาสตร์เขาได้บอกมาว่าตรงนี้มันได้เป็นพื้นที่ที่สนามแม่เหล็กแรงมากแล้วสนามแม่เหล็กบอกเลยว่ามันได้มีผลกระทบต่อการเดินเรือ

และการเดินเครื่องบินแน่นอนมีลมฟ้าลมฟ้าแรงอันนี้มันก็ได้เป็นหนึ่งอย่างที่นักวิทยาศาสตร์เขาได้ออกมาบอกและอีหหนึ่งอย่างสุดท้ายที่ได้มีคนออกมาพูดถึงมันน้อยมากแต่มันก็ยังได้มีคนพูดถึงคือไปโพล่ที่มิติอื่นมันน่าจะมีคนถามว่าทำไมเราถึงไปหยิบเอาเรื่องนี้ขึ้นมามันเป็นเรื่องเพ้อฝันหรือเปล่าจริงๆแล้วเรื่องนี้มันไม่ได้เป็นเรื่องที่เพ้อฝันถ้าเราลองดูข่าวกันดีๆในต่างประเทศก็เคยเกิดเรื่องการข้ามมิติการเวลาก็ได้มีมาแล้ว

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  bk8