Category Archive : วิทยาศาสตร์

กล้อง EPICมันก็สามารถที่จะเก็บภาพของโลกในขณะที่เกิดสุริยุปราคาเอาไว้ได้

ลำแสงสีน้ำเงิน

จากการเดินทางไปยังสถานีอวกาศนานาชาติในปี2015 นักบินอวกาศชาวเดนมาร์นามว่า แอนเดรียส์ โมเก็นเซ็น ได้บันนทึกภาพที่เรียกว่า “บลูเจ็ท” ไว้ได้ ซึ่งมันได้เป้นภาพของลำแสงสีน้ำเงินรูปทรงกรวยพุ่งผ่านชั้นบรรยากาศจากบริเวณที่เกิดพายุรุนแรง โดยสามารถมองเห็นได้จากนอกโลก ซึ่งลำแสงนั้นมันจะพุ่งขึ้นมาด้วยความเร็วถึง360kกม,/ชม.ด้วยระยะของละแสงที่พุ่งขึ้นสูงเกินกว่า30ไมล์ ก่อนที่จะหายไปในชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์เหล่านักวิจัยยังไม่มีใครรู้ถึงที่มาที่ไปของปรากฎการณ์นี้และยังคงเป็นปริศนาว่าเหตุใดลำแสงนั้นจึงเป็นสีฟ้าจนกระทั่งปัจจุบันหลายคนยังแคลงใจถึงการมีอยู่ของลำแสงนี้แต่นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่า ลำแสงนี้มันอาจจะเป็นการรวมและการแยกตัวกันระหว่างโมเลกุหลายชนิดในชั้นบรรยากาศนั่นเอง

แสงสีแดง

ภาพนี้ได้เป็นอีกหนึ่งภาพที่ถูกถ่ายไว้โดย โมเก็นเซ็น ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับบลูเจ็ทแต่สิ่งนี้จะเป็นรูปแบบของลำแสงไฟฟ้าแดงที่เกิดขึ้นอยู่เหนืออายุฟ้าคะนองในชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ โดยสิ่งนี้จะปรากฎขึ้นเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นและมีกจะถูกเมฆบัง จึงทำให้มองเห็นได้ยากและด้วยเหตุนี้การใองผ่านจากนอกโลกจึงเป็นทางที่มองเห็นได้ชัดที่สุดแต่แสงสีแดงนี้สามารถทำให้เกิดปรากฎการณ์ที่สามารถเห็นจากในโลกได้เช่นกันนั่นก็คือวงแหวนสีแดง ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อลำแสงนั้นไปกระทบชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์และนี่มันก็ได้เป็นภาพของปรากฎการณ์วงแหวนสีแดงที่ถูกถ่ายไว้โดยนักดาราศาสตร์นามว่า มาร์ติน โปเปค ในปี2017  ที่ได้เกิดขึ้นอยู่เหนือน่านฟ้าของสาธารณรัฐเช็ก ซึ่งเป็นภาพวงแหวนที่มีความกว้างถึง60ไมล์

ภาพหายากของดวงจันทร์

ในปี2016กล้องที่ติดตั้งอยู่บนดาวเทียมดิสคัฟเวอร์บังเอิญอยู่ในตำแหน่งที่สามารถถ่ายภาพหายากนี้ไว้ได้โดยเป็นภาพของดวงจันทร์ในอีกด้านที่ถ่ายด้วยกล้องEarth Polychromatc lmaging Camera (EPIC) ซึ่งมันได้อยู่ไกลจากโลกออกไปถึงหนึ่งล้านไมล์ในขณะที่ดาวเทียมDSCOVRทำหน้าที่เฝ้าสังเกตุการณ์พายุสุริยะส่วนกล้อง EPICจะทำหน้าที่ที่บันทึกภาพและส่งมายังโลกเพื่อให้นักวิทยาศาสตร์ทำการศึกษาต่อไปและเมื่อไม่นามานี้ด้านกล้อง EPICมันก็สามารถที่จะเก็บภาพของโลกในขณะที่เกิดสุริยุปราคาเอาไว้ได้ ซึ่งในเวลานั้นผู้คนที่อยู่บนโลกจะสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ที่ถูกดวงจันทร์บังแต่กล้องEPICสามารถที่จะบันทึกภาพเงาของดวงจันทร์ที่ตกกระทบลงมาบนโลกได้

 

สนับสนุนโดย  next88 login

เหตุการณ์ยูเอฟโอที่เบลเยียม

ยูเอฟโอที่เบลเยียม

ซึ่งได้มีวัตถุปริศนาที่ได้เคลื่อนตัวไปปรากฎอยู่เหนือทำเนียบขาวอาคารรัฐสภาสหรัฐ และฐานทัพอากาศแอนดรูส์ที่ได้มีการรายงานว่าพบวัตถุลึกลับที่ได้ปรากฎขึ้นมาในลักษณะเป็นลูกไฟสีส้มและยังได้มีอีกหนึ่งวัตถุปริศนาที่มันได้ลอยอยู่เหนือสถานีส่งคลื่นวิทยุและยังเชื่อว่ามันได้ทำการตรวจสอบการสื่อสารของทางฐานทักอากาศ

เนื่องจากวัตถุเหล่านั้น หายไปด้วยความเร็วสูงก่อนที่เครื่องบินขับไล่ เอฟ-94สตาร์ไฟร์จะเข้ามายังพื้นที่ต่อมาด้านโครงการบลูบุ๊คก้ได้ทำการจัดหมวดหมู่ของการพบเจอยูเอฟโอครั้งนี้ว่าเป็นเรื่อง “เท็จ” โดยอ้างว่าสิ่งที่มองเห็นนั้นเกิดจากการผกผันของอุณหภูมิที่เกิดขึ้นได้ยากแต่ทางด้านเจ้าหน้าที่ของทำเนียบขาวและซีไอเอกลับยังคงมีรายงานถึงการพบยูเอฟโอและต้องการให้ทำการสืบสวนเพิ่มเติม

เหตุการณ์เรือ ยูเอสเอส นิมิตซ์

ในช่วงปลายปี2017ถึงต้นปี2018โครงการะบุตัวตนของอากาศยานล้ำหน้าที่อาจเป็นภัยคุกคามของกระทรวงกลาโหมสหรัฐได้มีการแพร่ภาพฟุตเทจนี้สู่สาธารณชนเผยให้เห็นถึงภาพอิฟราเรดของการพบเจอยูเอฟโอที่ถูกพบโดยเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอฟโอ นิมิตซ์ เหนือมหาสมุทรแปซิฟิก ในปี2004 การพบเจอได้เกิดขึ้นอยู่หลายครั้ง

เมื่อเรดาร์ของเรือลาดตระเวน ยูเอสเอส พรินซ์ตัน สามรถตรวจจับอากาศยานปริศนาได้จากการสังเกตุการณ์พบว่า “วัตถุนั้นได้เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลันที่ความสูง80,000ฟุตและได้พุ่งลงมาเหนือมหาสมุทรก่อนจะหยุดอยู่ที่ความสูง20,000ฟุตหลังจากการพบเจอนั้นวัตถุปริศนาได้ไปปรากฎอยู่บนจอเรดาร์ของเครื่องบินขับไล่ เอฟเอ-18 ซุเปอร์ฮอร์เน็ท 

โดยได้มีการลงลายละเอียดเอาไว้ว่า “ขนาดของมันได้มีความยาวประมาณ30ถึง46ฟุต ไม่มีกระจกไม่มีประตูไม่มีส่วนหางไม่พบเครื่องยนต์หรือไอเสียจากยานแต่อย่างใด” ซึ่งวัตถุนี้ได้เคื่อนที่ด้วยความเร็วที่มากกว่า3.0มัคหรือมากกว่า3,600กิโลเมตร/ชั่วโมงหลังจากที่นักบินพยายามที่จะไล่ตามสุดท้ายยูเอฟโอนั้นได้เคลื่อตัวหนีออกไปด้วย

ความเร็วที่เร็วมากและได้หายวับไปกับตา ในเวลาไม่ถึงสองวินาทีทิ้งเอาไว้แต่เพียงความตกตะลึงให้กับนักบินผู้นั้น และ  ยูเอฟโอที่เบลเยียม  ซึ่งตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี1989 จนถึงเดือนเมษายน ปี1990 ได้มีการพบวัตถุปริศนาที่เป็นรูปทรงสามเหลี่ยมบินอยู่เหนือประเทศเบลเยียมทางเจ้าหน้าที่ได้รับรายงานมากกว่า1,000ครั้งว่าพบอากาศยานลึกลับ โดยส่วนมากจะลงลายละเอียดเอาไว้ว่า “ซึ่งนั้นมันเป็นวัตถุรูปทรงสามเหลี่ยม ที่มีแสงอยู่ด้านใต้โดยจะบินอยู่เหนือจากพื้นโลกไม่มาก และไม่มีเสียง” จากเหตุการณ์ประหลาดดังกล่าว มีผู้ที่สามารถบันทึกภาพไว้ได้

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนัน csgo

วัตถุที่ได้ลอยโคจรอยู่รอบโลก

สิ่งมีชีวิตนอกโลก?

ในปี2014ทางองค์กร Roscosmosได้รับข้อมูลบางอย่างที่น่าตกใจแต่ยังไม่มีการยืนยันถึงข้อเท็จจริงใดๆ โดยได้มอบข้อมูลให้กับแหล่งข่าวของรัสเซียที่มีชื่อว่าitar-Tass ซึ่งยังได้มีการรายงานว่า นักบินอวกาศรัสเซียพบร่องรอยของสิ่งมีชีวิตที่นอกสถานีอวกาศนานาชาติได้กล่าวกันว่าการค้นพบนี้เกิดจากการศึกษาคราบที่เกิดขึ้นอยู่นอกสถานมาเป็นเวลานานคาดว่ามีการเก็บตัวอย่างมาจากบานหน้าต่างของสถานีนั่นเอง

โดยเมื่อได้ทำการวิเคราะห์ลักษณะจุลชีพแล้วพบว่ามีความใกล้เคียงกับแพลงตอนที่ได้อยู่ในทะเลบนโลกจึงได้ทำให้เหล่านักวิทยาศาสตร์ต่างก็ได้แปลกใจว่าเหตุใดสิ่งมีชีวิตที่ควรจะอยู่ในทะเลถึงได้มาอยู่บนอวกาศเช่นนี้ได้และที่สำคัญมันมาจากไหน ซึ่งได้มีบางคนได้สันนิษฐานว่า สิ่งที่มีชีวิตนี้มันอาจจะติดมากับจรวดหรือบางทีมันอาจจะมาจากชั้นบรรยากาศโลกนั่นเอง

จากข้อมูลทางการศึกษาก่อนหน้านี้ที่เคยมีการค้นพบมีสิ่งมีชีวิตที่ยังลอยอยู่เหนือจากพื้นผิวโลกถึงประมาณ25ไมล์และในปี2017พบฟอสซิลแบบคทีเรียที่ได้มีอายุประมาณ4พันล้านปีจึงมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะมีสิ่งมีชีวิตจากอวกาศมาเยือนโลก เมื่อได้เป็นเช่นนี้มันจึงได้เกิดคำถามถึงสิ่งที่นักบินอวกาศชาวรัสเซียได้พบในปี2014แต่ทางนาซาเองเขาก็ได้กลับเพิกเฉยและได้ปฏิเสธที่มีความเกี่ยวกับสิ่งที่พบนี้ว่ามันไม่เคยมีรายงานเช่นนี้มาก่อน

ข้อมูลลับในถุงขยะ

ในครั้งแรกที่ได้เห็นสถานีอวกาศเมียร์ ของรัสเซีย ทางด้านนักบินอวกาศนาซาได้เปรียบเทียบว่าเหมือนกับเอารถโรงเรียนหกคันมามัดไว้รวมกันไว้และส่วนภายในของสถานีนั้นมันก็ไม่ได้มีสภาพที่ไม่ต่างไปจากภายนอก ซึ่งมันได้เต็มไปด้วยเครื่องมือที่ชำรุดและถุงขยะลอยไปมานอกจากนี้ยังได้มีการรายงานมาอีกว่าในระหว่างที่มีการปฏิบัติการนอกสถานี

 

มักจะมีวัตถุปริศนาที่ไม่สามารถระบุได้ปรากฏขึ้นทุกครั้งหลังภารกิจ โดยหลายคนได้เชื่อกันว่าสิ่งเหล่านี้นั้นมันคือขยะที่เหล่านักบินอวกาศทิ้งเอาไว้นอกยานแทนที่จะนำกลับมายังโลกทางด้านรัสเซียไม่เคยยอมรับว่าโยนขยะออกมาจากนอกสถานีแต่กลับมีข่าวลือที่ยืนยันได้ว่ามีการทิ้งขยะจริงโดยได้มีการตั้งข้อสันนิษฐานว่า แท้ที่จริงแล้วถุงขยะเหล่านี้อาจจะมีข้อมูลลับบางอย่างที่ไม่สามารถนำกลับมายังโลกได้นั้นเอง สำหรับแบล็คไนท์

นักวิจัยที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับยูเอฟโอได้กล่าวถึงดาวเทียมแบล็คไนท์ที่เชื่อว่าน่าจะโคจรรอบโลกมานานกว่า13,000ปีแม้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุนี้นั้นมีเพียงน้อยนิดแต่ว่าสิ่งนี้มีวงโคจรผ่านขั้วโลกโดยมาจากสิ่งมีชีวิตต่างดาว

 

สนับสนุนโดย  dewabet

หลายๆคนเชื่อว่าวัตถุปริศนาที่ตกมาในแอนทาร์กทิกาเป็นยูเอฟโอ

สำหรับจรวดลองมาร์ช5ได้ถูกพัฒนามาในปี2007 ซึ่งจะถือว่าได้เป็นจรวดเชื้อเพลิงเหลวในรูปแบบใหม่ของประเทศจีนถึงแม้ว่ามันอาจจะมีการระบุว่าจรวดดังกล่าวมันอาจจะถูกสร้างขึ้นเพื่อการสำรวจอวกาศแต่ทั้งนี้ก็ยังได้มีความกังวลว่ามันอาจจะมีการบรรทุกอาวุธขึ้นสู่อวกาศก็เป็นได้สำหรับจรวดลองมาร์ช5ก็ได้เปิดตัวครั้งแรกภายในปี2016ด้วยการนำเอามาทดสอบในการเดินทางที่ได้พร้อมกับมีการบรรทุกวัตถุลับบางอย่างขึ้นสู่อวกาศส่วนในการทำการทดลองของการบินครั้งที่สองเกิดขึ้นในช่วงปี2017แต่ในการทำการทดสอบนั้นมันกลับล้มเหลวมันได้ทำให้จรวดได้ตกลงสู่มหาสมุทร

กระสวยอวกาศเอนเดฟเวอร์

ในช่วงเดือนกันยายน ในปี2012 ซึ่งทางด้านนาซาเองก็ได้มีการทำการปลดระวางกระสวยของอวกาศของเอนเดฟเวอร์ซึ่งได้มีการนำเอาบรรทุกขึ้นไปบนหลังเครื่องบินโบอิง747 ซึ่งก็ได้บินออกมาจากศูนย์อวกาศเคนเนดี ในฟลอริดาเพื่อที่จะได้เข้าไปยังในฐานทัพของอวกาศเอ็ดเวิดส์ในแครฟอร์เนีย เนื่องจากว่าทางด้านกูเกิลเอิร์ธนั้น ซึ่งเขาได้สามารถจับรูปภาพในครั้งสุดท้ายของกระสวยอวกาศเอาไว้ได้

ในช่วงขณะที่กำลังบินอยู่เหนือเขตในการทำการทดลองทางการเหล่าทารไวท์แซนด์ที่ได้อยู่ทางด้านของรัฐนิวเม็กซิโกแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นที่มันยังได้มีความน่าแปลก ซึ่งเป็นจุดที่ได้อยู่ตรงบริเวณข้างด้านล่างของเครื่องบินที่มันได้ส่องแสงและมันได้มีการปรากฏรูปภาพขึ้นมาที่มันได้เป็นแสงที่มีสีน้ำเงิน ซึ่งได้มีการมองดูกันอย่างแน่ชัดกันแล้วว่ามันได้ดูเหมือนคล้ายๆกันกับเงาของเครื่องบิน นอกจากนี้ก็ยังได้มีเหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ยังได้ออกมาอธิบายอีกว่า สิ่งเหล่านี้ถือได้ว่ามันได้เป็นปรากฏการณ์เหตุการณ์ที่ปกติหลังจาก เมื่อได้มีการตรวจจับรูปภาพจากดาวเทียมจากด้านบนในช่วงที่วัตถุที่มันกำลังจะเคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็ว

วัตถุปริศนาในแอนทาร์กทิกา

สำหรับรูปภาพที่ได้มาจากในกูเกิลเอิร์ธภาพนี้มันยังเผยให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องของวัตถุบางอย่างที่มันได้ถูกฝังเอาไว้อยู่ใต้หิมะซึ่งมันได้เป็นสถานที่ที่ได้มีความห่างไกลไปจากเกาะเซาธ์จอร์เจียที่มันได้ตั้งอยู่ทางด้านทิศทางตอนเหนือของแอนทาร์กทิกาอีกทั้งนี้ด้วยลักษณะของวัตถุและรอยเส้นทางในการเกิดขึ้นภายในภาพมันอาจจะทำให้ดูเหมือนกับว่ามันได้ตกลงมาจากท้องฟ้า

และมันได้ลื่นไถลไปตามพื้นผิวของหิมะ ซึ่งในวัตถุเหล่านี้ที่มันน่าจะมีความยาวประมาณ60เมตรแต่ทั้งนี้สำหรับที่มาของมันก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่ดี โดยผู้คนที่ได้อยู่บนโลกออนไลน์หลายๆคนต่างก็ได้เชื่อกันว่าสิ่งนี้เป็นยูเอฟโอแต่มันก็ยังได้มีผู้ที่แย้งว่ามันอาจจะเป็นแค่เพียงหิมะถล่มที่ถูกจับภาพได้ด้วยความบังเอิญ

 

 

สนับสนุนโดย  sagame mobile

เรื่องมิติคู่ขนาดหรือ Mirror World

สำหรับเรื่องนี้มันได้เป็นหนึ่งในวิทยาศาสตร์ที่ในตอนนี้มันก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่ามันได้มีอยู่จริงหรือเปล่าสำหรับMirror Worldนั้นในความหมายของมันก็คือโลกมิติคู่ขนาด ซึ่งใครเคยดูหนังที่เกี่ยวกับโลกกกระจกและอันนี้เราต้องบอกก่อนเลยว่าเรานั้นไม่ได้ดูการ์ตูนมาจนเกินไปแต่ทีมผู้ที่สร้างการ์ตูนนี้เขาได้นำเอาทฤษฎีตรงนี้เอามาทำเป็นการ์ตูน คือโลกกระจกถ้าจะให้พูดกันตามตรงโลกกระจกนั้นมันก็คือโลกที่เหมือนอย่างกับโลกของเรา

โดยปกตินี่แหละแต่มันจะเป็นโลกที่สลับข้างแต่เป็นโลกที่ใช้คำว่าไม่มีใครอยู่ไม่มีใครเห็นไม่มีใครรับรู้หรืออะไรเลยและมันเคยมีหนึ่งทฤษฎีที่น่าสนใจเป็นอย่างมากที่รักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่เขาได้ออกมาบอกเอาไว้ว่าจริงๆแล้วโลกของเรานั้นมันได้มีโลกคู่ขนาดแล้วโลกคู่ขนาดนั้น

มันคือที่พักพิงของมนุษย์ต่างดาวเอเลี่ยนถามว่ามันพิสูจน์ได้หรือไม่เราขอบอกเลยว่ามันก็ยังพิสูจน์ไม่ได้แต่เราได้ลองมานึกถึงเหตุการณ์ที่มันได้เกิดขึ้นบนโลกเราในหลายๆอย่างยกตัวอย่างเช่นสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า  สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ามันอยู่ในแถบทะเลมันเป็นเหมือนเกาะอยู่สามเกาะแล้วก็เชื่อมโยงกันเป็นเส้นแล้วก็เอาเส้นมาขีดมันจะเป็นรูปสามเหลี่ยม

ซึ่งตรงจุดนั้นมันมีเหตุการณ์อยู่เยอะมากไม่ว่าจะเป็นเรือหายเครื่องบินหายซึ่งมันได้หายไปเลยจนทำให้คนได้คิดว่ามันได้ไปโพล่ในที่อีกมิติหนึ่งหรือเปล่าหรือว่ามันได้ไปมิติคู่ขนาดหรืออะไรยังไง ซึ่งเขาก็ได้ไปทำการสำรวจไปหาซากไปหาอะไร ซึ่งในทะเลเราบอกเลยว่ามันเป็นเรื่องยากมาก

แต่เชื่อหรือไม่ว่าเรือหรือว่าเครื่องบินนั้นที่มันได้หายไปในเบอร์มิวด้ามันไม่พบเห็นซากใดๆเลย ซึ่งมันหน้าเป็นใจอยู่มากๆ มันสามารถที่จะตั้งข้อสงสัยได้อยู่หลายอย่างหนึงมันอาจจะหายไปในขั้วมิติอื่นหรือเปล่า สองอันนี้ทางด้านนักวิทยาศาสตร์เขาได้บอกมาว่าตรงนี้มันได้เป็นพื้นที่ที่สนามแม่เหล็กแรงมากแล้วสนามแม่เหล็กบอกเลยว่ามันได้มีผลกระทบต่อการเดินเรือ

และการเดินเครื่องบินแน่นอนมีลมฟ้าลมฟ้าแรงอันนี้มันก็ได้เป็นหนึ่งอย่างที่นักวิทยาศาสตร์เขาได้ออกมาบอกและอีหหนึ่งอย่างสุดท้ายที่ได้มีคนออกมาพูดถึงมันน้อยมากแต่มันก็ยังได้มีคนพูดถึงคือไปโพล่ที่มิติอื่นมันน่าจะมีคนถามว่าทำไมเราถึงไปหยิบเอาเรื่องนี้ขึ้นมามันเป็นเรื่องเพ้อฝันหรือเปล่าจริงๆแล้วเรื่องนี้มันไม่ได้เป็นเรื่องที่เพ้อฝันถ้าเราลองดูข่าวกันดีๆในต่างประเทศก็เคยเกิดเรื่องการข้ามมิติการเวลาก็ได้มีมาแล้ว

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  bk8

อาการป่วยปริศนาหลังขึ้นไปสำรวจบนดวงจันทร์

หลายคนอาจจะยังไม่รู็ว่าหลังจากที่นักบินอวกาศกลับเข้ามายังโลกของเราแล้วและนระหว่างที่เขาอยู่บนพื้นผิวของดวงจันทร์นั้นเขามีอาการอย่างไรบ้างและวันนี้เรามีข้อมูลบางส่วนมาให้คุณได้อ่านกัน

อันตรายจากการสำรวจดวงจันทร์

ก่อนที่นาซา จะทำการลงทุนในการสำรวจดวงจันทร์ทางศูนย์วิทยาศาสตร์ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบทางกายภายในระยะยาวเลยแม้ตอนนี้ได้มีการเดินทางไปยังดวงจันทร์ เพื่อการสำรวจในการตั้งอาณานิคมของมนุษย์ก็ได้ความรู้เชิงประจักเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจมีต่อร่างกายมนุษย์ได้ในขณะที่อันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ ได้ถูกค้นพบหากมีการตั้งอาณานิคมบนดวงจันทร์มนุษย์จะได้รับรังสีคอสมิกที่คงที่และมีพลังงานสูงอีกทั้งแรงโน้มถ่วงของดวงจันทร์มีประมาณเพียง17%เท่านั้น หากเปรียบเทียบกับโลก

ซึ่งมันจะส่งผลต่อกระดูกและมวลกล้ามเนื้อและอีกหนึ่งองค์ประกอบที่อาจเป็นอันตรายนั่นก็คือ “ฝุ่นของดวงจันทร์” โดยนักบินอวกาศอพอลโลผู้ซึ่งเคยเดินบนพื้นผิวของดวงจันทร์ ในระหว่างปี1969และปี1972 พวกเขาได้เตะฝุ่นที่อยู่บนพื้นผิวของดวงจันทร์ ซึ่งมันทำให้ลอยฟุ้งไปทั่วจนทำให้ฝุ่นจับตัวยู่ตามรอยพับและรอยหยัก ของชุดอวกาศของพวกเขาเมื่อไม่มีความรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงดังกล่าวจึงทำให้นักบินอวกาศเหล่านี้มีฝุ่นจากดวงจันทร์จำนวนมากติดเข้ามาภายในยานอวกาศของพวกเขาและเมื่อกลับสู่โลกมีการบันทึกว่า ภายในบานอวกาศถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นจากดวงจันทร์

อาการป่วยปริศนา

นักบินอวกาศที่ได้เตะฝุ่นบนดวงจันทร์กล่าวว่าพวกเขาได้เกิดอาการป่วยโดยพวกเขาเรียกมันว่า ไข้ละอองฟางซึ่งมันจะมีอาการคล้ายภูมิแพ้ที่ทำให้ระคายเคืองที่ดวงตา ปอด และ จมูกแม้แต่หมอที่ช่วยทีม อพอลโล11ออกจากโมดูลอวกาศที่เต็มไปด้วยฝุ่นก็กล่าวว่าเขามีอาการดังกล่าวเช่นกันในขณะที่พวกเขาประสบปัญหากับระบบทางเดินหายใจอย่างรุนแรงแต่ไม่มีนักบินอวกาศอพอลโลคนใดที่ได้รับผลกระทบทางด้านสุขภาพในระยะยาวหลังจากที่ได้สัมผัสกับฝุ่นดวงจันทร์เลยโดยนักบินอวกาศของภารกิจอพอลโล17นั้นอยู่บนพื้นผิวของดวงจันทร์ถึง75ชั่วโมง

ซึ่งถูกจัดว่าเป็นภาระกิจที่อยู่บนพื้นผิวดวงจันทร์ที่นานที่สุดโดยมีนักวิทยาศาสตร์และแพทย์ทางกายภาพเข้าร่วมในการเดินทางครั้งนี้ด้วย ขณะที่ คิม พริสค์ นักฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียกล่าวว่า “นี่อาจจะเป็นเพียงแค่ฝุ่นที่ทำให้ระคายเคืองหรืออาจเป็นบางสิ่งที่เป็นพิษ” “ซึ่งเรายังไม่ทราบข้อมูลที่แน่ชัดและมันก็ยังคงเป็นปริศนานาจนปัจจุบัน”

 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  บาคาร่าsagame

สนามแม่เหล็กมีการเคลื่อนตัวอย่างผิดปกติจะเกิดอะไรขึ้น?

สำหรับโลกของงเรานั้นมันก็จะมีสนามแม่เหล็กเพื่อเอาไว้ป้องกันสิ่งแปลกปลอมจากนอกโลกหรือเอาไว้ป้องกันรังสียูวีจากพระอาทิตย์ที่ได้มีมากเกินไปมันอาจจะทำให้เรากลายเป็นมะเร็งโรงผิวหนังได้ ซึ่งสนามแม่เหล็กโลกมันได้มีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลาแต่เขาก็ได้พบว่าตั้งแต่ในปี2012ที่ผ่านมาสนามแม่เหล็กโลกได้มีการเคลื่อนตัวอย่างผิดปกติย้อนกลับไปเมื่อปี2554

จากข่าวต่างประเทศสนามบินนานาชาติแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียก็ได้ปิดรันเวย์หลายรันเวย์ เนื่องจากว่าได้มีการเคลื่อนตัวของสนามแม่เหล็กอย่างรวดเร็ว ซึ่งหมายเลขของการจอดเครื่องบินมันได้เป็นอะไรที่สำคัญต่อการบินเป็นอย่างมากเพราะว่าการที่จะระบุรันเวย์หันไปทิศไหนทำมุมกี่องศากับขั้วแม่เหล็กเหนือถ้าผิดพลาดแม้แต่องศาเดียว

อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงหรือที่เรียกว่าเครื่องบินตกเครื่องบินจอดได้ไม่ตรงจุดและทำให้เกิดโศกนาฏกรรมได้ ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นั้นนักวิทยาศาสตร์เขาก็ได้ศึกษาเป็นต้นมาว่าสรุปว่าขั้วแม่เหล็กมันเปลี่ยนแปลงขึ้นจริงมั้ยและเขาก็ได้สรุปออกมาว่าเมื่อในปี2012ที่ผ่านมาว่านักธรณีฟิสิกส์วิทยาเขาได้บอกว่าขั้วแม่เหล็กโลกมีการเคลื่อนที่เร็วอย่างปกติในรอบ10ปีและความเข้มขนของสนามแม่เหล็กในอ่อนตัวลงถึง10%และอาจจะมีคนสงสัยว่าถ้าสนามแม่เหล็ก

มันได้มีการอ่อนตัวลงมันจะเกิดอะไรขึ้นและสิ่งที่ันจะเกิดขึ้นมาและเป็นไปได้มันมีอยู่6อย่าง อย่างแรกก็คือ เปลือกโลกเคลื่อนตัวจะทำให้แผ่นดินไหวภูเขาไฟระเบิดแผ่นดินใต้น้ำสั้นไหวจึงทำให้เกิดสินามิก็จะเกิดอุทกภัยมากมาย ส่วนที่สอง โลกจะร้อนขึ้นอย่างที่เราได้กล่าวไปเบื้องต้นว่าความร้อนของสนามแม่เหล็กมันช่วยลดพลังงานรังสียูวีของพระอาทิตย์ได้และถ้าความเข้มข้นมันลดลงและโลกมันก็จะร้อนขึ้นมาอย่างแน่นอน ส่วนที่สาม

จะเกิดน้ำท่วมใหญ่จากน้ำอุณหภูมิที่สูงขึ้นจึงทำให้น้ำแข็งของขั้วโลกเหนือละลายและปริมาณของน้ำมันได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนที่สี่ อุกกาบาตอาจจะพุ่งเข้ามาชนโลกและสิ่งแปลกปลอมจากนอกโลกจะถูกดูดเข้ามาในโลกง่ายขึ้นสนามแม่เหล็กมันได้อ่อนตัวลงจากที่เคยปกป้องโลกมันก็อาจจะปกป้องน้อยลงมันอาจจะทำใหุ้กกาบาตเปลี่ยนทิศทางออกไป

จากนอกโลกอาจจะชนโลกแล้วก็ผ่านชั้นบรรยากาศ ซึ่งอุกกาบาตที่โดนสนามแม่เหล็กน้อยลงจะพุ่งเข้ามาในโลกมากขึ้นและได้มีอุกกาบาตตกลงมาในโลกมากขึ้นส่วนที่ห้า สัตว์หลายชนิดจะสูญเสียประสาทสัมผัสในการกำเนินทิศทางไปบนดลกเราจะมีสัตว์หลายชนิดที่ใช้สนามแม่เหล็กในการดำรงชีวิตหรือในการหาเหยื่ออยู่ไม่ใช่น้อย

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  bk8

สิ่งมีชีวิตแรกเริ่มหรือสปีชีส์บนโลกเราไม่ได้เกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติของโลก

ทฤษฎีBigbang หลังจากที่มีการเกิดBigbangขึ้นมาในครั้งนี้ ดาวเคราะห์สองดวงที่มันได้ชนกันเศษที่มันได้แตกออกมานั้นมันก็เริ่มก่อตัวและกลายมาเป็นโลกที่เราได้อยู่กันในปัจจุบันยุคแรกเริ่มและมันก็ยังได้มีเศษในบางส่วนที่มันไม่ได้เข้ามารวมตัวกันกับโลกมันก็รวมตัวกันจนมันได้กลายมาเป็นดวงดาว ดวงดาวหนึ่งที่เราได้รู้จักกันในนามของพระจันทร์นั่นแหละ หรือ บางคนก็อาจจะคิดว่าพอมันเกิดทฤษฎี Bigbangโลกของเรา

มีน้ำมีแผ่นดินมีจริงๆแล้วโลกของเราตอนแรกมันไม่ได้เป็นเหมือนโลกของเราที่อยู่ ณ ตอนนี้ไม่มีอะไรเลย โลกของเรานั้นในยุคแรกๆเป็นโลกที่จะออกไปในทางสีแดง และสีแดงจุดนี้มันก็ได้มีสาเหตุอยู่เหมือนกันเพราะว่าสภาพอากาศได้มีก๊าซมีเทนและแอมโมเนียเป็นจำนวนมากรวมถึง ณ ตอนนั้นสภาพพื้นดินไม่มีทะเลไม่มีน้ำมีแต่ลาวาที่มันได้ประทุออกจากภูเขาไฟเต็มไปหมดและนั่นเอง

มันก็ได้เป็นโลกในยุคเริ่มแรกที่ได้มีการเกิดึ้นในยุคของ Bigbangนั่นเอง ซึ่งตรงจุดนี้มันก็ได้เป็นที่มาของโลกตอนแรกแล้วก็พระอาทิตย์ตอนแรกสรุปแบบสั้นๆให้ได้อ่านกัน ส่วนเรื่องของการเกิดสิ่งมีชีวิตบนโลกเรา ซึ่งในตอนนี้เขาก็ยังไม่มีข้อสรุปและยังไม่มีทฤษฎีไหนที่มันน่าจะเป็นไปได้มากที่สุดแต่หนึ่งอย่างี่นักวิทยาศาสตร์สรุปเป็นเสียงเดียวกัน

เลยคือสิ่งมีชีวิตแรกเริ่มหรือสปีชีส์บนโลกเราไม่ได้เกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติของโลกแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มันได้มาจากอวกาศ ซึ่งโลกของเราในสมัยก่อนมันจะมีเหตุการณ์ที่อุกกาบาตพุ่งชนโลกกันอยู่บ่อยครั้งมากโดยจะมีหลักฐานยืนยันว่ามีอุกกาบาตพุ่งชนโลกจริงๆคือซากหรือบริเวณร่องรอยการตกของอุกกาบาตบาทที่มีอยู่ทั่วโลกเลยและเขาก็ยังได้เชื่อกันว่าการที่อุกกาบาตพุุ่งชนโลกนั้นก็ได้นำเอาสิ่งมีชีวิตสปีชีส์แรกเข้ามาสู่บนโลกอีกด้วยโดยสิ่งมีชีวิตตัวนั้นนั่นก็คือBacteria,แบคทีเรียนั่นเอง ซึ่งตอนแรกที่เราได้เจอข้อมูลตรงนี้เราได้สงสัยมากเลยว่าแล้วBacteria,แบคทีเรียที่มันได้ติดมากับอุกกาบาตแล้ว

มาพุ่งชนโลกแล้วBacteria,แบคทีเรียมันไม่โดนความร้อนจากลาวาหรือมันไม่โดนการเผาไหม้จนมันเป็นผงไปแล้วหรอแล้วมันจะมีชีวิตอยู่ในสภาพอากาศหรือสภาพแวดล้อมที่มันจะมีแต่ลาวามีแต่ก๊าซมีเทนมีแต่ก๊าซแอมโนเนียได้ยังไงและสิ่งสำคัญมากที่สุดในการดำรงชีวิตเลยนั่นก็คือจะต้องมีน้ำและน้ำนั้นมันมาจากไหนบนโลกเราตอนแรกมันไม่มีน้ำมีแต่ลาวาแล้วก็ก๊าซพิษทั้งนั้นและเขาก็ยังมีหลายทฤษฎีที่มีการถกเถียงกันเป็นจำนวนมาก

 

 

สนับสนุนโดย  sagame เอเชีย

มนุษย์และสิ่งมีชีวิตเกิดมาได้ยังไง

สำหรับสิ่งที่มีชีวิตบนโลกของเราหรือว่ามนุษย์นั้นเกิดขึ้นมาได้ยังไง ซึ่งเราก็จะต้องย้อนกลับไปตรงที่จุดเริ่มตนเลยและถามว่ามันใช่โลกของเราหรือไม่มันไม่ใช่ จุดเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิตและโลกมันคือพระอาทิตย์ผมเชื่อว่าหลายๆคนก็อาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของระบบสุริยะดวงอาทิตย์หรือดวงดาวบริวาลต่างๆมากมายที่มันได้อยู่ในระบบสุริยะของเราจากการเรียนวิทยาศาสตร์กันมาบ้างแล้ว

ทีนี้เราก็จะขอสรุปแบบสั้นๆเลยว่ามันก็จะประมาณว่าในตอนแรกจักรวาลที่เราได้อยู่ในปัจจุบันนี้แต่ก่อนนี้มันได้เป็นพื้นที่ว่างเปล่ามันยังไม่มีดวงอาทิตย์มันยังไม่มีดวงดาวยังไม่มีโลกยังไม่มีอะไรเลยแต่สิ่งแรกที่มันได้เกิดขึ้นในจักรวาลก็คือดวงอาทิตย์ สำหรับทฤษฎีการเกิดดวงอาทิตย์เขาได้สันนิษฐานกันว่าการเกิดดวงอาทิตย์เกิดจากการยุบตัวของแรงโน้มถ่วงของสารกลุ่มเมฆโมเลกุลขนาดใหญ่และสารขนาดใหญ่นั้น

มันก็จะอันตัวกันแน่นอยู่ตรงที่บริเวณใจกลางจนเวลามันได้ผ่านไปเรื่อยๆมันก็จะกลายเป็นดวงอาทิตย์ขึ้นมาแต่มันก็จะมีกลุ่มเมฆโมเลกุลในบางส่วนที่มันไม่ได้มารวมตัวกับจุดกึ่งกลางระหว่างที่มาเป็นพระอาทิตย์มันก็เป็นเศษโคจรอยู่รอบๆดวงอาทิตย์แล้วมันก็เริ่มจับตัวๆแน่นๆขึ้นเรื่อยๆเป็นแผ่นของวงโคจรจนมันกลายมาเป็นระบบสุริยะที่เราได้รู้จักกันในปัจจุบัน

อย่างที่เรานั้นได้บอกไปมันเป็นทฤษฎีที่เขาได้เชื่อถือกันมากที่สุดถ้าอาทิตย์และระบบสุริยะเกิดมาได้ยังไงและพอเวลาต่อมาผ่านมาหลายร้อยปีดวงอาทิตย์ที่มันมีส่วนประกอบในชั้นบรรยากาศด้วยก๊าซไฮโดรเจนอยู่ในปริมาณที่มากมันก็เลยทำให้เกิดการระเบิดบริเวณพื้นผิวของดวงอาทิตย์จนเศษพื้นผิวของดวงอาทิตย์มันกระเด่นออกมาสู่อวกาศและเศษนั้น

มันก็ยังได้เป็นเศษอุกกาตนับลานชิ้น โดยเสษอุกกาตนับล้านชิ้นพวกนี้ได้หลุมออกมาและได้อยู่ในวงโคจรของดวงอาทิตย์เลยทำให้พวกเศษอุกกาตพวกนี้เริ่มวนรอบๆดวงอาทิตย์และมันได้ก่อตัวๆขึ้นมากันอยู่เรื่อยๆจนมันได้กลายมาเป็นดวงเคราะห์ดวงหนึ่งขึ้นมาแต่ว่ามันก็ยังมีเศษที่เหลือนับล้านชิ้นที่มันยังได้โคจรอยู่รอบๆดวงอาทิตย์พวกนี้

ก็เกาะตัวกันเป็นดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งขึ้นมาเช่นเดียวกัน ซึ่งมันก็ยังได้มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งเหมือนกันที่มันน่าจะเป็นปรากฎการณ์ที่เราน่าจะรู้จักกันก็คือดาวเคราะห์สองดวงในในระบบสุริยะมันชนกันและเกิดระเบิดครั้งใหญ่และมันก็ได้กลายมาเป็นทฤษฎีที่เรารู้จักที่คยได้ยินมาก็คือทฤษฎี Bigbangนั้นเอง

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  bk8

ทฤษฎีโลกกลวงของฮัลเล่ย์

สำหรับ ทฤษฎีโลกกลวง เราจะขอพูดถึงสถานที่หนึ่งเลยก็คือขั้วโลกเหนือที่มีแต่น้ำแข็งเข้าไปปกคุมหมดเลย โดยขั้วโลกเหนือเป็นจุดที่นักธรณีวิทยาส่วนใหญ่ได้เชื่อกันว่าใต้ขั้วโลกและใต้มหาสมุทรอาร์กติกเป็นเปลือกโลกที่ประกอบไปด้วยหินดินแล้วก็แกนโลกได้มีความยาวกว่า30ไมล์หรือ48กิโลเมตร และด้านล่างที่เรานั้นได้ยืนกันอยู่นั้นมันเป็นโลก

ที่ตันและตรงกลางมันเป็นแหล่งพลังงานของโลกหรือที่เราได้เรียกกันว่าแก่นของโลกนั้นเองโดยข้อสรุปตรงนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังได้สรุปข้อมูลที่ได้มาจากแรงโน้มถ่วงพลังงานแม่่เหล็กและพลังงานการเคลื่อนไหวสะเทือนของโลกว่าโลกที่เราอยู่นั้นด้านล่างมันตันและมันไม่มีอะไรที่อยู่ใต้โลกนอกจากดินหินดินนืดและแกนของโลก

แต่เชื่อหรือไม่ว่านักธรณีวิทยาทุกคนที่เห็นตรงกันว่าโลกของเราตันไม่เคยมีใครได้เห็นว่าโลกของเรานั้นมันตันจริงๆหรือเปล่าจนได้มีนักธรณีวิทยากลุ่มหนึ่งก็ได้ตั้งทฤษฎีขึ้นมาว่ามันจริงหรือว่าโลกของเรานั้นมันตันมันอาจจะมีพื้นผิวในบางส่วนหรือที่เราเรียกกันว่าพื้นผิวขั้วโลกที่มันถูกปกคุมไปด้วยน้ำแข็งมันอาจจะเป็นประตูเปิดสู่โลกอีกโลกหนึ่งที่มันได้อยู่บนโลกของเรา

มันก็อาจจะเป็นไปได้แล้วนี่คือทฤษฎีที่นักธรณีวิทยาอีกกลุ่มหนึ่งเขาได้ตั้งขึ้นมาและได้มีการอ้างอิงจากประวัติศาสตร์ว่าทฤษฎีจุดนี้ได้มีการพูดถึงกันมาตั้งแต่ในอดีตและมีการยอมรับกันมาแล้วแต่ไม่มีการค้นพบนั่นก็คือทฤษฎีโลกกลวงนั่นเอง โดยทฤษฎีโลกกลวงที่เราได้พูดถึงนั้นในสมัยก่อนมันได้มีการพูดถึงและได้เป็นที่ยอมรับกันเป็นอย่างมาก

คนที่คิดทฤษฎีโลกกลวงก็คือEdmond Halleyซึ่งเป็นนักดาราศาสตร์ที่โด่งดังในสมัยก่อนจากเรื่องดาวหางของเขาเองนั่นแหละ ถ้าใครเคยเรียนวิทยาศษสตร์ก็น่าจะเคยได้ยินคำว่าดาวหางฮัลเล่ย์นั่นแหละเขาคือบุคคลที่คิดเรื่องของทฤษฎโลกกลวงในสมัยก่อนและเป็นที่ยอมรับมากในสมัยนั้นอีกด้วยโดยฮัลเล่ย์นั้นเขาได้บอกเอาไว้ว่าโลกของเรานั้น

เปรียบเสมือนตุ๊กตามาโตสก้าที่มีการวางซ้อนๆกันไว้โดยกันดึงแต่ละชั้นออกมามันก็จะมีชั้นที่อยู่ข้างในและเล็กๆลงอีกไปเรื่อยๆ และทฤษฎีของฮัลเล่ย์ก็ยังได้อ้างอิงถึงหลักความเป็นจริงที่บอกว่าขั้วแม่เหล็กของโลกได้เคลื่อนไปทางทิศตะวันตกที่ละน้อยๆในทุกๆปีและความคิดอีกอย่างของเขาก็คือทรงกลมชั้นนอกมีวงกลมชั้นในที่สามารถหมุนได้อย่างอิสระจากวงกลมชั้นนอกและวงกลมชั้นในนี้สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อีกด้วย

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  sa game vip