Category Archive : วิทยาศาสตร์

คุณเคยเห็นภูเขาไฟระเบิดหรือไม่ มาจำลองวิธีการกัน

          เชื่อว่าหลายคนคงเคยดูภาพยนตร์เกี่ยวกับภูเขาไฟระเบิดกันมาบ้างแล้ว หรือบางคนอาจจะได้มีโอกาสไปเห็นภูเขาไฟของจริงที่มอดดับไปแล้ว และบางคนโชคดีที่เคยเห็นภูเขาไฟของจริงที่ยังไม่มอดดับ  ตอนเด็กๆคุณคงอยากรู้ว่าภูเขาไฟมันเป็นอย่างไร มีอะไรอยู่ข้างปล่องภูเขาไฟนั้น เชื่อว่าบุตรหลานของท่านเองก็คงอยากรู้เหมือนกัน

เพื่อเป็นการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในด้านวิทยาศาสตร์ เรามาทำการทดลองทำภูเขาไฟระเบิดให้เด็กๆดูกันเถอะ อย่างน้อยนี่จะได้เป็นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับภูเขาไฟของเด็กๆเบื้องต้น ก่อนที่พวกเขาจะได้ไปศึกษาเพิ่มเติมกับคุณครูที่โรงเรียน หากคุณพร้อมแล้ว เรามาเตรียมอุปกรณ์กันก่อนดีกว่าค่ะ 

          การทำ Home Volcano หรือภูเขาไฟจำลองนั้นอุปกรณ์ที่ใช้ทดลองเป็นอุปกรณ์ที่หาได้ง่ายๆในบ้านค่ะ  นั่นคือ  เบกกิ้งโซดา เชื่อว่าหลายๆบ้านคงมีเบกกิ้งโซดาติดประจำบ้านสำหรับหมักหมู  ทำอาหาร หรือเป็นส่วนผสมในการทำความสะอาดต่างๆก็ได้นะค่ะ ต่อมาคือ สีผสมอาหารสีแดง หรือจะใช้น้ำแดงเฮลบูบอยก็ได้ค่ะ  ต่อมาน้ำเปล่า   น้ำยาล้างจานยี่ห้ออะไรก็ได้  น้ำส้มสายชูยี่ห้ออะไรก็ได้  กระดาษแข็ง และดินน้ำมัน เห็นไหมค่ะ อุปกรณ์เหล่านี้หาได้ไม่ยากเลิก เพื่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆของบุตรหลานเรา เรามาเริ่มทำลองทำภูเขาไฟจำลองกันเลยค่ะ

            เริ่มจากการทำภูเขาไฟกันก่อนค่ะ        ให้นำกระดาษแข็งที่เตรียมเอาไว้มาตัดทำเป็นรูปทรงกรวย  เมื่อเสร็จแล้วนำกรรไกรมาตัดปลายกระดาษส่วนบนออก หลังจากนั้นให้ใช้ดินน้ำมันมาก่อล้อมรอบกรวยกระดาษให้เป็นรูปภูเขาไฟ แล้ววางไว้บนฐานเพื่อเป็นการรองรับลาวาเมื่อเวลาภูเขาไฟระเบิด หลังจากได้ภูเขาไฟจำลองแล้วก็ตกแต่งรอบๆภูเขาไฟให้สวยงาม มีต้นไม้มีสัตว์เล็กๆมาตั้ง ทำให้เหมือนกับป่าจริงๆจะดูสวยงามมาก

          หลังจากได้ภูเขาไฟจำลองแล้ว เรามาทำลาวากันค่ะ โดยการนำเบกกิ้งโซดาผสมกับสีผสมอาหารสีแดง หรือน้ำเฮลบูบอยสีแดง และน้ำเปล่า ผสมคนให้เข้ากันเมื่อผสมเสร็จแล้วนำน้ำที่เราผสมนี้เทลงไปในปล่องไฟ  หลังจากนั้นเติมน้ำยาล้างจานลงไปสักหยดสองหยดแล้วคนทั้งหมดให้เข้ากัน เมื่อคนจนเข้ากันดีแล้วก็เทน้ำส้มสายชูลงไป รอเพียงครู่เดียว ภูเขาไฟจำลองที่เราทำก็พร้อมจะระเบิดลาวาออกมาแล้วค่ะ

            อยากรู้ไหมคะ ว่าทำไมเมื่อเราใส่น้ำส้มสายชูลงไปแล้ว ลาวาถึงระเบิดออกมา  คำตอบง่ายมากค่ะ ที่ลาวาระเบิดออกมาเพราะน้ำส้มสายชูที่เราเทลงไป มันไปทำปฏิกิริยากับเบกกิ้งโซดา ก่อให้เกิดเป็นก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ แล้วจึงเกิดการปะทุขึ้นมาก ซึ่งก็คือการระเบิดของภูเขาไฟนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย  sagame

เมื่อออกซิเจนของโลกได้ลดลงอาไรจะเกิดขึ้น?

หลังจากที่ดวงอาทิตย์มันได้ดับศูนย์ลงไปแล้วและมันจะไม่มีแสงสว่างอีกแล้วแน่นอนเลยว่าพืชพันธุ์ต่างๆหรือต้นไม้ที่จะใช้แสงในการสงเคราะห์และจะผลิตออกซิเจนออกมาเขาก็ไม่สามารถที่จะผลิตออกซิเจนออกมาได้และสุดท้ายพืชพันธุ์ต่างๆเหล่านั้นมันก็จะล้มตายกันออกไปและออกซิเจนของโลกมันก็จะหายไปกว่าครึ่งของโลกและอากาศมันจะเบาบางลงจนทำให้สิ่งที่มีชีวิตนั้นแย่กันหายใจกันเลยก็ว่าได้ แต่ก็อย่างที่ได้บอกกันไปว่ามันก็ยังได้มีออกซิเจนในบางส่วนอยู่บนโลก

ซึ่งในส่วนใหญ่มันก็จะมาจากน้ำทะเลกันทั้งนั้นแต่ความเลวร้ายมันก็ยังไม่จบแต่เพียงเท่านั้นเพราะว่าหลังจากที่ได้มีพืชพันธุ์ตายหมดและออกซิเจนได้ลดลง สิ่งต่อมาที่จะเกิดขึ้นมาก็คืออุณหภูมิของโลกมันก็ได้ลดลงต่ำลงมาอย่างรวดเร็วใช้คำว่ามันสามารถเปลี่ยนจากโลกธรรมดาให้กลายมาเป็นยุคน้ำแข็งได้โดยไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือนกันเลย ซึ่งตรงจุดนี้นักวิทยาศาสตร์เขาก็ยังได้คาดการณ์กันว่าเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือนอุณหภูมิของโลกมันก็จะลดต่ำลงมาอย่างรวดเร็ว

ว่ากันว่าอุณหภูมิมันติดลบกว่า20องศาตั้งแต่สัปดาห์แรกและพอระยะเวลามันได้ผ่านไปไม่กี่เดือนๆอุณหภูมิมันก็จะลดต่ำลงกว่า100องศาถึงลบ200องศาเลยกว่าได้ ซึ่งตรงจุดนี้มันก็ยังได้เป็นอีกหนึ่งปัดจัยที่มันได้ทำให้สิ่งที่มีชีวิตมันได้ล้มตายกันไปอีกส่วนหนึ่งและสิ่งที่มันได้มีชีวิตอีกส่วนหนึ่งที่เขายังสามารถทนอยู่กันได้เขาก็จะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

ในการที่จะใช้ชีวิตและสิ่งที่มีชีวิตหรือว่าสัตว์พันธุ์บางชนิดต่างๆเขาก็จะต้องเข้าไปหาพื้นที่ที่มันสามารถจะให้ความอบอุ่นกับเขาได้โดยพื้นที่เหล่านั้นที่มันยังหลงเหลืออยู่บนโลกมันก็มีอยู่เพียงไม่กี่อย่างนั้นก็คือพื้นที่ที่มันได้เป็นป่องภูเขาไฟหรือพื้นที่ที่ใกล้กับป่องภูเขาไฟนั่นเองส่วนสิ่งที่มันมีชีวิตที่มันได้อยู่ใต้ท้องทะเลหรือว่าสัตว์ที่จำพวกปลา

ส่วนใหญ่เขาก็ยังได้คาดการณ์กันว่ามันน่าจะใช้ชีวิตอยู่อดได้ในช่วงแรกเพราะอุณหภูมิน้ำมันอาจจะยังไม่ได้มีผลอะไรมากมายแต่ในระยะยาวสุดท้ายสิ่งที่มีชีวิตเหล่านั้นถ้ามันเป็นตัวไม่ได้เหมือนในยุคที่ไดโนเสาร์อากาศปรับเปลี่ยนอย่างเฉียบพลัลสุดท้ายสัตว์เหล่านั้นมันก็จะต้องสูญพันธุ์กันได้อยู่ดีและตรงนี้มันก็คือผลกระทบหลังจากที่ดวงอาทิตย์มันได้ดับสูญลงไปแต่ตรงนี้มันยังไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว

 

ได้สนับสนุนโดย  เว็บพนัน เกม

ถ้าหากว่าดวงอาทิตย์ได้หายไปจากระบบสุริยะจักรวาลวันนั้นจะเป็นวันสิ้นโลกหรือไม่?

สำหรับเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมากเพราะว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องที่ไกลตัวกันสักเท่าไหร่เลยซึ่งในทุกๆสิ่งมันล้วนแต่มีเกิดและก็มีดับลงไป ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นดวงอาทิตย์ที่มันได้เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะจักรวาลของเรามันก็ยังได้เป็นอีกหนึ่งอย่างที่มันสามารถเกิดขึ้นมาได้และมันก็ดับลงได้เช่นกัน

เพราะฉะนั้นแล้วพวกนักวิทยาศาสตร์เขาเลยได้คาดการณ์เอาไว้ว่าถ้าหากว่าวันหนึ่งดวงอาทิตย์ได้หายไปจากระบสุริยะจักรวาลไม่ว่าจะกรณีไหนๆก็แล้วแต่วันนั้นมันอาจจะเกิดวิบัติที่ใหญ่ที่สุดในระบสุริยะจักรวาลมันอาจจะทำให้สิ่งที่มีชีวิตของเรามันอาจจะสูญพันธุ์ไปทันหมดเลยก็ว่าได้ ซึ่งสิ่งที่มีชีวิตที่เราได้พูดถึงกันในตรงนี้เราได้รวมถึงสิ่งมีชีวิตที่มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตในโลก

เวลาที่เราจะพูดถึงสิ่งต่างๆที่มันจะเกิดขึ้นกับดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะจักรวาลของเรา อีกอย่างหนึ่งที่เราจะต้องทำความเข้าใจกันคร่าวๆกันก่อนเลยก็คือ ระบบดวงอาทิตย์กับระบบสุริยะจักรวาลของเราถ้าจะให้อธิบายให้ได้เข้าใจกันง่ายๆและมองภาพให้มันกว้างๆว่าโลกของเรานั้นมันได้เป็นหนึ่งในดวงดาวที่เป็นบริวารของดวงอาทิตย์ที่มันเป็นเมฆที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะจักรวาลที่เราอยู่ ซึ่งในระบบจักรวาลเรานั้นมันได้มีดวงดาวอยู่หลายดวงมาก ไม่ว่าจะเป็นดาวพุธ ดาวโลก ดาวอังคาร หรือ ดาวๆที่มันได้มีการบันทึกเอาไว้ในหน้าวิทยาศาสตร์ดวงดาวเหล่านี้

มันก็ได้เป็นดวงดาวบริวารของดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะจักรวาลทั้งหมดเลย ซึ่งดวงอาทิตย์ได้เปรียบเสมือนกลุ่มก้อนพลังงานที่ได้ปลดปล่อยพลังงานต่างๆออกมาและพลังงานเหล่านั้นมันก็มีผลต่อโลกหรือว่าดวงดาวต่างๆที่ได้อยุ่ในบริวารทั้งหมดเลยไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของพลังงานของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าพลังงานคลื่นพลังงานต่างๆในด้านเคมีและที่มันสำคัญมากที่สุดก็คือพลังงานได้ด้านแสงสว่างหรือด้านพลังงานแสงอาทิตย์มันเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดในการดำรงอยู่ของสิ่งที่มีชีวิตบนโลกของเราเลย

ซึ่งจากการที่เราได้ไปหาข้อมูลมานั้นเราก็ยังได้รู้ว่าดวงอาทิตย์หรือว่าดวงแม่ของจักรวาลของเราได้มีอายุมาประมาณ4,600ล้านปีแล้ว ซึ่งจากการคาดเดาของนักวิทยาศาสตร์ที่เขาได้คาดการณ์กันเขาได้คาดกันว่าดวงอาทิตย์ในตอนนี้มันคือดวงอาทิตย์ที่อยู่ในอายุประมาณวัยรุ่นกลางคนถ้าเปรียบเทียบอายุคนที่มีอายุประมาณ60ปีดวงอาทิตย์จะอยู่ในอายุประมาณ25-30ปี

ถ้าจะให้ตีความหมายตรงก็คือดวงอาทิตย์ที่เราได้พูดถึงกันนั้นมันได้มีอายุขัยมาถึงครึ่งทางแล้วและวันหนึ่งเมื่อถึงวันหมดอายุของดวงอาทิตย์จริงๆยังไงดวงอาทิตย์มันก็จะต้องดับศูนย์ลงไปอย่างแน่นอน

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนัน

จะเจออะไรขึ้นเมื่อโลกหมุนรอบตัวเองช้าลง

ซึ่งถ้าโลกหมุนรอบตัวเองช้าลงมันก็อาจจะส่งผลในเรื่องของเวลาที่ผิดไปจากเดิมและมันอาจจะมีผลต่อทะเลที่เปลี่ยนไปนั้นเอง ซึ่งทะเลที่มันได้มีการเปลี่ยนไปตามข้อมูลเขาได้บอกเอาไว้ว่าในขนาดที่โลกของเราชรอการหมุนตัวรอบตัวเองมันจะทำให้โลกของเรานูนขึ้นและมันจะนูนขึ้นตรงบริเวณตรงกลางของโลกเท่านั้นแต่บริเวณขั้วโลกจะมีเนื้อที่เท่าเดิม

ซึ่งตรงนี้จะขออธิบายเพิ่มเติมนิดนึงว่าโลกของเรานั้นจะทำให้น้ำอยู่ในบริเวณใต้เส้นสูงสุดของโลกเสมอแต่ถ้าวันหนึ่งโลกของเราได้หมุนช้าลงมันจะทำให้น้ำได้อยู่ต่ำกว่าเส้นสูงสุดและจะทำให้น้ำทะเลเหล่านั้นถูกดันตัวสูงขึ้นมาไปอยู่ตรงบริเวณขั้วโลกเกือบทั้งหมดและทางนักวิทยาศาสตร์เขาคลาดการณ์กันว่าน้ำทะเลที่ได้เคลื่อนตัวไปมันจะมีไม่ต่ำกว่า10ล้านตัน

ซึ่งถ้าน้ำขนาดนั้นได้เคลื่อตัวไปบริเวณขั้วโลกเส้นทางที่ผ่านหรือพื้นที่ประเทศต่างๆที่อยู่บริใกล้กับขั้วโลกทั้งหมดจะจมลงสู่ใต้ท้องทะเลหมดเลยและบริเวณที่มันได้เคยมีน้ำทะเลอยู่หลังจากที่มีน้ำดันตัวขึ้นไปพื้นที่ตรงนั้นมันก็จะมีแผ่นดินใหม่เกิดขึ้นมาตรงนี้มันก็เลยเป็นผลกระทบต่อเนื่องอีกมันจึงทำให้ปลาที่เค้าได้เคยอาศัยอยู่ในบริเวณใกล้ชายฝั่งจะต้องอพยพตามน้ำทะเลไปถ้าปลาทะเลชนิดไหนอพยพไปแล้วปรับตัวได้ก็จะอยู่รอด

แต่ถ้าปลาทะเลชนิดไหนอพยพไปไม่ได้หรือไปได้แล้วแต่ปรับตัวไม่ทันก็จะตายลงทั้งหมดเลย ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาจริงๆมันก็น่าจะส่งผลต่อมนุษย์เหมือนกันตรงที่ว่าถ้าแผ่นดินมันได้เกิดขึ้นมาและน้ำทะเลมันถูกดันตัวสูงขึ้นไปอยู่บริเวณขั้วโลกทั้งหมดเราว่ามันน่าจะหาอาหารจากทะเลได้ยากมากขึ้นและจะต้องไปหาอาหารจากทางอื่น

มาเพิ่มแทนซึ่งในความคิดส่วนตัวเรามันก็คงจะไม่พ้นสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ในป่าและสัตว์ป่าเหล่านั้นก็จะถูกล่าและนำเอามาเป็นอาหารจนในอนาคตอาจจะทำให้สัตว์หลายชนิดสูญพันธุ์ไปเลยก็ว่าได้และหลังจากที่เกิดผลกระทบจากทางทะเลมันเลยทำให้ส่งผลกระทบทางอากาศที่เราหายใจอยู่ด้วยอย่างที่เราได้รู้กันอยู่ว่าทะเลเปรียบเสมือนปลอดของโลกกว่า50%หรือครึ่งโลกเลยก็ว่าได้แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งน้ำทะเลเหล่านี้กลับแห้งและได้ไปกองกันอยู่ที่บริเวณขั้วโลกเหนือและบริเวณขั้วโลกใต้

มันจะทำให้อากาศถูกถ่ายเทไปที่ขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้ได้เช่นกันและเพื่อที่จะเอาชีวิตรอดทั้งสิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ก็ต้องอพยพไปหาพื้นที่ที่ทำให้เราหายใจได้ในเวลานั้นมันจะเกิดความโกลาหลกันอย่างรุนแรงทั้งเรื่องของความวุ่นวายการแก่แย้งชิงที่อยู่การหาอาหารที่มีอยู่จำกัดและความเห็นแก่ตัวของแต่ละคน

 

ขอบคุณผู้ที่ให้การสนับสนุนโดย  เว็บพนันไพ่ดัมมี่

นักวิทยาศาสตร์ออกมาเตือนไวรัสในค้างคาวอาจจะมีวิวัฒนาการเป็นเชื้อไวรัสชนิดใหม่

             ในขณะนี้   สือ เจิ้งลี่ เธอคือนักวิทยาศาสตร์คนดังของประเทศจีนที่ประจำอยู่ในสถาบันองค์ท่านซึ่งเป็นผู้ที่ค้นพบเชื้อไวรัสโคโรน่าคนแรกซึ่งขณะนี้เธอกำลังศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องของเชื้อไวรัสโคโรนาอยู่ในขณะนี้โดยเธอออกมาพูดถึงเชื้อไวรัสขนาดนี้ว่าจากการที่เธอศึกษาเกี่ยวกับเชื้อไวรัสชนิดนี้พบว่ามีการวิวัฒนาการของเชื้อไวรัสโคโรน่าร่วมกับเชื้อของค้างคาวซึ่งถ้าเกิดว่าชั้น 2 อย่างนี้มารวมกันมาจะมีการพัฒนาร่วมกันเกิดขึ้นได้เป็นเชื้อไวรัสชนิดใหม่ขึ้นมาได้โดยทาง ดร. สือ เจิ้งลี่ 

ได้ออกมาพูดถึงเรื่องของเชื้อไวรัสชนิดใหม่นี้งานวันที่ 26 เดือนพฤษภาคมพ.ศ 2563 โดยมีการออกมาเผยแพร่เกี่ยวกับข้อมูลที่เธอได้มีการศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเรื่องของเชื้อไวรัสโคโรนาว่าเธอมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเชื้อไวรัสชนิดนี้มาตั้งแต่ตอนที่ประเทศจีนประสบปัญหาการระบาดของเชื้อไวรัสชนิดนี้ว่าที่จริงแล้วเชื้อชนิดนี้เกิดมาจากเชื้อไวรัส

โดยมีตัวอะไรเป็นพาหนะซึ่งหลังจากที่มีการวิจัยออกมาจึงทำให้ทราบได้ว่าเชื้อไวรัสชนิดนี้พัฒนามาจากสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมอย่างค้างคาวถ้าหลังจากนั้นเธอก็นำการวิจัยที่ค้นพบเชื้อไวรัสโคโรน่านี้มาทำการวิจัยเพิ่มเติมซึ่งทำให้เธอทราบว่าเชื้อไวรัสชนิดนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ตรงนี้เท่านั้นเมื่อเชื้อได้รับการต่อสู้ด้วยกันนำยาฆ่าเชื้อมาผลปรากฏว่าเชื้อไวรัสชนิดนี้

มีการพัฒนาการมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อเป็นการพัฒนาการเสือให้มีความแข็งแรงมากขึ้นทำให้ชีวิตนี้อาจจะมีการพัฒนากลายเป็นเชื้อไวรัสชนิดใหม่ขึ้นมาอีกทีนึงก็ได้ซึ่งหลังจากที่มีการดูข้อมูลและศึกษาเกี่ยวกับไวรัสโคโรน่าย้อนหลังโดยเธอหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของสายพันธุ์ของไวรัสเนื่องจากพบว่าเดิมทีนั้นไวรัสชนิดนี้มีแค่สายพันเดียวแต่หลังจากนั้นเมื่อมีการรักษาด้วยการนำยามารักษาต่างๆพบว่าเชื้อมีการกลายพันธุ์แบ่งออกเป็นหลายสายพันธุ์ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ A สายพันธุ์ B

และแต่ละสายพันธุ์เชื้อก็มีความแข็งแกร่งมากขึ้นทำให้การผลิตยาต้านไวรัสชนิดนี้ค่อนข้างผลิตได้ลำบากและจากการที่เธอได้มีการศึกษาค้นคว้ามาพบว่าเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งเมื่อมีแรงกดดันที่มีการผลิตน้ำยาต้านเชื้อออกมาพวกมันก็มีการพัฒนาตนเองให้หลีกหนียาฆ่าเชื้อเหล่านั้นได้ซึ่งเธอมองว่าหากยังคงเป็นอยู่อย่างนี้แน่นอนว่าเชื้อไวรัสจะต้องมีการกลายพันธุ์เป็นเชื้อไวรัสชนิดใหม่แน่นอนซึ่งมันจะมีผลต่อมนุษย์ทุกคนทั่วโลกที่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมและแน่นอนว่าถ้ามันสามารถกลายพันธุ์ได้เรื่อยๆมันก็จะหนีวัคซีนที่อาจจะมีการพัฒนาเพื่อเอามากำจัดมันก็ได้ 

 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  sagameผ่านมือถือ

How to โยนไข่แล้วไม่แตก

          ครั้งที่แล้วมีการพูดถึงโครงงานวิทยาศาสตร์ของลูกสาวว่าให้หาวิธีโยนไข่อย่างไรไม่ให้แตก ซึ่งวิธีการนั้นได้ผลที่ดี แต่เสียตรงที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก และการนำขนมกินเล่นมาเล่นแบบนี้ดูจะเป็นการสอนลูกที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่

คุณแม่จึงจำเป็นต้องหาวิธีการอื่นเพื่อมาสอนลูกเรื่องการทดลองการวิทยาศาสตร์การโยนไข่จากที่สูงอีกรอบ เพื่อให้สบายงบประมาณในกระเป๋าของคุณแม่เอง ดังนั้นวิธีที่สองนี้จึงมั่นใจได้เลยว่าถูกและดีแน่นอน เรามาดูกันเลยค่ะว่าทำอย่างไรได้บ้าง

           ก่อนอื่นต้องหาวัสดุอุปกรณ์ที่ในทำการทดลองนี้กันก่อน หาเอาวัสดุที่มีอยู่แล้วในบ้านเลยค่ะ อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมคือ  สำลี ( ใช้ปริมาณเยอะหน่อย )  ไข่ไก่สด 1 ฟอง   พลาสติกกันกระแทกเอาของเก่าที่คุณแม่เคยซื้อของแล้วเขามีห่อกันกระแทกมาให้มาใช้งานได้ค่ะ ไม่ต้องไปหาซื้อใหม่  กระดาษหนังสือพิมพ์เก่า  สกอร์ตเทป  กล่องขนาดใหญ่กว่าไข่สัก20-30 เท่าก็ได้ค่ะ

           เมื่อเราได้อุปกรณ์ครบแล้วก็ลงมือทำกันเลยค่ะ โดยนำสำลีมาห่อไข่ให้หนาๆทุกด้าน หลังจากห่อสำลีแล้วนำพลาสติกกันกระแทกมาห่อสำลีที่ใส่ไข่เอาไว้ โดยพันให้หนาๆ สักประมาณ 5-6 ชั้นก็ได้ให้มั่นใจว่าครบคลุมทุด้านปิดด้วยสกอร์ตเทปอีกรอบให้ทั่ว  หลังจากนั้นนำหนังสือพิมพ์มาขยำหรือมาตัดเป็นเส้นๆก็ได้แล้วใส่กระดาษหนังสือพิมพ์ลงไปในกล่องครึ่งกล่องก่อน เสร็จแล้ว

นำไข่ที่อยู่ในสำลีและพลาสติกกันกระแทกใส่ลงในกล่องที่เตรียมเอาไว้และใส่กระดาษหนังสือพิมพ์ให้เต็มกล่อง โดยไม่ให้มีเว้นช่องว่างไว้ พยายามเขาไข่วางไว้ให้อยู่ตรงกลาง เมื่อใส่กระดาษหนังสือพิมพ์จนเต็มกล่องแล้ว นำสกอร์ตเทปมาปิดกล่องให้แน่นหนาอีกรอบ โดยให้ปิดทุกด้านกันของด้านในกระแทกออกมา

เมื่อเตรียมของเสร็จแล้วก็มาถึงช่วงทดลอง  โดยทำการโดยกล่องลงมาจากที่สูงได้เลย ถ้าหากไม่มีข้อกำหนดพื้นที่ในการโยน ให้เลือกโยนตรงพื้นที่ที่มีหญ้าหนาๆ เยอะๆเอาไว้ รับรองไข่ไม่แตกแน่นอน แต่ว่าถ้าไม่สามารถเลือกพื้นที่ในการโยนได้ ก็ยังแนะนำให้วิธีการเดิมคือ นำพลาสติกมาทำเป็นล่มชูชีพมัดกล่องแล้วค่อยโยนไข่ไก่ลงมา วิธีนี้ก็ได้ผล 100 % แน่นอน ซึ่งได้ทำการทดลองกับลูกสาวแล้วเช่นกัน

          จากการทำการทดลองทั้งสองวิธีจะเห็นได้ว่าเพียงเรานำภาชนะอะไรก็ได้ที่นุ่มมีอากาศเข้าได้ มาห่อหุ้มไข่ให้หนาๆเข้าไว้แล้วลดแรงดึงดูดด้วยการติดร่มชูชีพผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ของคุณยังไงก็ผ่านอย่าลืมไปลองทำกันดูนะคะ

 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  เว็บพนันออนไลน์

การค้นพบสไปโนซอรัส ของNizar ibrahim

วันนี้เรามาดูเรื่องราวที่ต้องบอกเลยว่าต้องสะเทือนวงการไดโนเสาร์เลยก็ว่าได้ในวันที่29เดือนเมษายน ปี2020ที่ผ่านมาNizar ibrahimก็ได้เสนอหลักฐานที่จะช่วยยืนยันทฤษฎีของเขาว่าแท้ที่จริงแล้ว  เจ้าสไปโนซอรัส ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในน้ำเป็นหลักอย่างแน่นอน โดนกระดูกชุดใหม่ที่ได้ถูกค้นพบเพิ่มเติมในปี ค.ศ.2018 และถ้าได้ดูจากรูปร่างแล้วที่เราเคยได้เห็นกันในโรงภาพยนตร์นั้นมันก็เป็นสัตว์บกและเป็นนักล่า

แต่การวิวัฒนาการของมันนั้นมันได้มาถูกเฉลยในปีนี้ กระดูกหางกว่า30ชิ้นของเจ้าสไปโนซอรัสก็ได้ถูกค้นพบเพิ่มเติมที่เคนเคนเบ็ดที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศโมร็อกโกจากการศึกษาก็ได้พบว่าหางของ  เจ้าสไปโนซอรัส ได้มีกระดูกส่วนเนโรสไปป์ของหางที่สูงมากโดยเฉพาะบริเวณปลายหางที่มีความสูงเป็นพิเศษที่ส่วนสไปป์ของหางมมันได้สูงกว่าส่วนเซ็นเท็มถึง7เท่ากระดูกเชฟรอนก็ยาวมากเช่นกันจึงเป็นไปไม่ได้ว่าหางของเจ้าสไปโนซอรัส

มันจะมีกล้ามเนื้อที่โคนหางหนามากและยังได้มีปลายหางที่มีรูปทรงแบนคล้ายกับหางของปลาและจรเข้ทำให้เกิดแนวคิดที่ว่าแทนจริงแล้วหางของเจ้าสไปโนซอรัสก็ยาวและมีเอาไว้ตวัดน้ำเพื่อที่จะได้เคลื่อนตัวในน้ำได้อย่างเต็มรูปแบบอย่างงั้นรึ เพื่อทดสอบแนวคิดนี้Nizar ibrahimจึงต้องจำลองหุ้นกลไกเพื่อทดสอบของหางเจ้าสไปโนซอรัสและได้พบว่าหางของมันสามารถมีพละกําลังในการแก่วหางสูงกว่าไดโนเสาร์โดยทั่วๆไปถึง8เท่าNizar ibrahimจึงได้ออกมาทำการสรุปอีกว่าเจ้าสไปโนซอรัสมันได้เป็นไดโนเสาร์ตัวแรกที่มันสามารถวิวัฒนาการตัวเอง

และได้ใช้ชีวิตอยู่ในน้ำมากกว่าสไปโนซอรัสตัวอื่นๆไปอีกขั้นและด้วยหางของมันที่ทรงประสิทธิภาพทำให้มันไม่จำเป็นที่จะต้องยืนจับปลาอยู่ที่ริมแม่น้ำแต่มันอาจจะสามารถว่ายน้ำตามลงไปล่าสัตว์ที่อยู่ภายในน้ำได้เลยสำหรับในการค้นพบครั้งนี้ก็ได้มีการสนับสนุนพฤติกรรมและวิวัฒนาการของเจ้าสไปโนซอรัสที่มันได้เป็นสัตว์ที่ได้อาศัยอยู่ทั้งบกและในน้ำตบอดจนได้

เป็นการค้นพบในครั้งที่สำคัญที่มันทำให้เราได้เข้าใจถึงสรีระที่น่าอัศจรรย์ของไดโนเสาร์เทอโรพอดที่มันได้พยายามที่จะปรับตัวเพื่อที่มันจะได้อาศัยอยู่ในน้ำได้อย่างเกือบเต็มรูปแบบที่มันได้มีมาให้เรานั้นได้ค้นพบในปัจจุบันนี้และก็ยังได้ศึกษาอีกด้วยว่าสัตว์ตัวนี้ได้เป็นไดโนเสาร์ยุคแรกที่ว่ายน้ำและเป็นสัตว์กินเนื้อในช่วงของยุคไดโนเสาร์ครั้งแรกที่ประเทศโมร็อกโก

 

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  bk8 info

การสำรวจหาแหล่งน้ำและอากาศธานน้ำบนพื้นผิวดาวอังคาร

ดาวอังคารได้เป็นดาวเคราะห์ในลำดับที่4นับจากดวงอาทิตย์และมันก็ได้เป็นอีกหนึ่งในดาวเคราะห์ที่เรานั้นได้ให้ความสนใจมันอย่างพิเศษเพราะจากการศึกษาข้อมูลต่างๆจากดาวอังคารแล้วก็พบว่ามันจะมีความเป็นไปได้อยู่พอสมควรว่าเรานั้น

จะสามารถที่จะเข้าไปตั้งอานานิคมและจะสามารถขยายเผ่าพันธุ์มนุษย์บนพื้นที่ดวงดาวนั้นได้ เนื่องจากว่ามันได้มีความคล้ายเหมือนกันกับโลกที่มันได้เกี่ยวข้องกับปัดจัยในหลายๆอย่างทั้งความเอียงของแกนดาวที่มันจะสามารถทำให้เกิดในฤดูกาลต่างๆและยังได้รวมไปถึงระยะทางขนาดสภาพภูมิประเทศและดาวอังคารก็ยังถือว่าเป็นสิ่งที่ได้มีการเอื้อนต่อสิ่งที่มีชีวิตสำหรับบรรยากาศที่บนดาวอังคารนั้นมันยังได้ประกอบไปด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ร้อยละ96อาร์กอนร้อยละ1.93และ ไนโตรเจนร้อยละ1.89ได้ร่วมกัน

ไปกันกับออกซิเจนและน้ำในปริมาณเพียงเล็กน้อยในบรรยากาศนั้นจะมีฝุ่นค่อนข้างมากโดยมันจะเป็นอนุภาพที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ1.5ไมโครเมตร มันจะทำให้ท้องฟ้ากลายเป็นสีที่มันออกเหมือนน้ำตาลปนเหลืองหากเราได้มองจากพื้น ซึ่งหลังจากนอกเหนือจากที่เราได้มองสังเกตจากโลกแล้วสำหรับข้อมูลใหม่ที่มันได้มีความเกี่ยวข้องกับดาวอังคาร

ซึ่งก็ได้มาจากยานที่ได้บนไปทำการสำรวจประมาณ7ลำที่ยังติดอยู่ในขั้นตอนการทำภาระกิจที่ด้านบนและการโคจรของดาวเหนือของดาวอังคารที่มันได้ประกอบไปด้วยยานที่มันกำลังโคจรอยู่ประมาณ5ลำและยังได้มียานที่สำหรับทำการสำรวจที่บนพื้นอีก2ลำที่จะได้ทำการศึกษาผิวของบนดวงดาวภูมิอากาศและด้านธรณีวิทยา

ซึ่งทางด้านสาธารณะชนโดยทั่วๆไปจะสามารถขอดูรูปภาพของบนดวงดาวอังคารได้จากโปรแกรมไฮวิชซึ่งมารีเนอร์สี่ซึ่งได้เป็นยานลงสำรวจลำแรกที่สามารถเข้าไปจอดดาวอังคารได้อย่างสำเร็จในปี1965หลังจากนั้นก็ได้ส่งยานขึ้นไปทำการสำรวจอีกเยอะแยะมากมายซึ่งยานทุกๆลำที่ได้ส่งออกไปทำการสำรวจมันก็จะมีภาระกิจที่แตกต่างกันออกไป

อย่างเช่นยานขึ้นไปทำแผนที่ทางธรณีวิทยาการหาแหล่งน้ำที่มันอยู่ในพื้นดินการเซาะระบบชีวิตอื่นๆ ซึ่งในระยะไม่กี่ปีที่ได้ผ่านมาเราก็ยังได้รู้ข้อมูลที่มันจะสร้างความตื่นเต้นให้กับเรามากยิ่งขึ้น

อย่างเช่นการค้นพบร่องรอยของสายน้ำที่มันได้ไหลเข้ามากัดบนพื้นผิวของดาวอังคารและมันก็ยังทำให้เรานั้นได้รับรู้ว่าเรานั้นยังได้มีความหวังเราอาจจะพบเห็นเจอกับสิ่งที่มันได้มีชีวิตที่แห่งนั้น เนื่องจากว่านักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่แล้วก็ยังเชื่ออีกว่าน้ำนั้นมันสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตเติบโตขึ้นมาได้

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  bk8 โบนัส 100

การกำเนิดของรุ้งกินน้ำ

           หลายคนคงจะเคยเห็นรุ้งกินน้ำ ซึ่งเจ้ารุ้งกินน้ำที่เราเห็นกันบ่อยๆนี้เรามักจะเห็นมันเกิดขึ้นหลังจากฝนตกใหม่ๆ อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่ารุ้งกินน้ำนั้นมี 7 สี โดยในสมัยเด็กๆหลายคนคงเคยท่องสีทั้ง 7 ว่ามีสีอะไรบ้าง นั่นก็คือ ม่วง  คราม น้ำเงิน  เขียว  เหลือง  แสด  แดง เจ็ดสีที่ส่องประกายสวยงามหลังฝนตก ในปัจจุบันเราจะไม่ค่อยได้พบเห็นรุ้งกินน้ำกันสักเท่าไหร่ อย่างที่ทราบกันดี 

ในสมัยเรียนหนังสือว่า รุ้งกินน้ำเกิดจากการหักเหของแสง ซึ่งตอนเรียนวิทยาศาสตร์จะมีการระบุไว้ว่า แสงเดินทางเป็นเส้นตรง แต่คุณรู้หรือไม่ว่า ทำไมเวลาที่เกิดรุ้งกินน้ำแล้วถึงเป็นเส้นโค้ง

          ถ้าอยากรู้ว่าทำไมรุ้งกินน้ำถึงเป็นเส้นโค้ง เรามาทวนความจำด้านวิทยาศาสตร์กันก่อนว่าแสงมีคุณสมบัติอย่างไร และรุ้งกินน้ำเกิดขึ้นได้อย่างไรกันก่อน เพื่อเป็นการทวนความรู้วิทยาศาสตร์กันก่อนค่ะ

         แสง เป็นพลังงานอย่างหนึ่งเดินทางด้วยความเร็วสูง แสงเป็นศูนย์รวมของการดำเนินชีวิต หากขาดแสงสิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะไม่สามารถอยู่ได้ มนุษย์ต้องการแสงในการให้ความสว่างรวมถึงต้องการออกซิเจนจากต้นไม้เพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ ส่วนต้นไม้ถ้าไม่มีแสงก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ดังนั้นแสงจึงเป็นเหมือนวัตจักรในการดำเนินชีวิต แหล่งกำเนินของแสงที่ใหญ่ที่สุดก็คือแสงจากดวงอาทิตย์ ปัจจุบันมนุษย์ได้คิดค้นพลังงานแสงขึ้นมาใช้เองนั่นคือแสงจากไฟฟ้า

         นักวิทยาศาสตร์มีการระบุไว้ว่าแสงจากดวงอาทิตย์ที่เราเห็นกันนั้นเป็นสีขาว แต่เมื่อเรานำปริซึมมาส่องดูจะเห็นได้ว่าแสงสีขาวที่เราเห็นกันนั้นจริงแล้วมีแถบสีเรียงกันถึง 7 สีโดยมีการเรียกแถบทั้ง 7 สีนี้ว่าสเปกตรัม ทีนี้เรามาดูกันว่าทำไมถึงเกิดรุ้งกินน้ำ อย่างที่รู้กันดีว่า รุ้งกินน้ำ เกิดมาจากละอองน้ำในอากาศมีการหักเหกับแสงของดวงอาทิตย์ทำให้เกิดสเปกตรัมแถบสีทั้ง 7 ขึ้น ซึ่งหลังฝนตกใหม่ๆจะมีละอองน้ำเล็กๆลอยในอากาศเป็นจำนวนมาก เมื่อละอองน้ำมีการหักเหกับแสงแล้วมาสะท้อนเข้าตาของเราในมุมที่ต่างกัน โดยแสงที่หักเหจะทำมุมจึงทำให้เห็นเป็นเส้นโค้ง ที่เราเรียกกันว่า รุ้งกินน้ำ

สำหรับรุ้งกินน้ำแบ่งเป็น 2 ชนิดคือ รุ้งกินน้ำแบบปฐมภูมิกับรุ้งกินน้ำแบบทุติยภูมิ

-รุ้งกินน้ำแบบปฐมภูมิ เราจะเห็นสีของรุ้งกินน้ำมีสีแดงอยู่ด้านบนและสีม่วงอยู่ด้านล่าง นั้นเพราะแสงกระทบกับหยดน้ำทางขอบบนทำให้เกิดการหักเห 2 ครั้งแต่สะท้อนกลับแค่ 1 ครั้ง

-รุ้งกินน้ำแบบทุติยภูมิ เราจะเห็นสีรุ้งกินน้ำมีสีม่วงอยู่ด้านบนส่วนสีแดงจะอยู่ด้านล่าง นั้นเพราะแสงกระทบกับหยดน้ำทางขอบล่าง ทำให้เกิดการหักเห 2 ครั้งและสะท้อนกลับหมดทั้ง 2 ครั้ง

-รุ้งกินน้ำที่สมบูรณ์จะมีรูปแบบเป็นวงกลม แต่เมื่อมองจากพื้นขึ้นไปจะมองเห็นแค่บางส่วนเท่านั้น

 

 

ได้รับการสนับสนุนมาจาก  คาสิโนออนไลน์

สัตว์ในยุคโบราณเมื่อ10,000ปีก่อนที่ได้สูญพันธุ์ลงไป

Woolly mammoth

ช้างแมมมอธนั้นได้สูญพันไปเมื่อ11,700ปีที่ผ่านมา ซึ่งตัวช้างแมมมอธนั้นมันได้มีความยาวของลำตัวมันประมาณ4เมตรและมันก็ยังได้มีขนที่ยาว นอกจากนี้สาเหตุของการสูญพันของช้างแมมมอธนั้นก็ยังเชื่อว่า ช้างแมมมอธนั้นมันได้สูญพันธุ์จากการถูกล่าในช่วงยุคมนุษย์หินได้ตายลงไปจนหมด

ซึ่งได้มีการค้นพบสุสานของช้างแมมมอธที่ได้มีขนาดใหญ่รวมไปถึงอาวุธในสมัยของยุคหินเป็นจำนวนมากที่มันได้ถูกฝังเอาไว้ใต้กระดูกของช้างแมมมอธนอกจากนี้ก็ยังได้เชื่อว่าในมนุษย์ของยุคหินนั้นได้ใช้ไฟและหอกปลายแหลมออกไล่ล่าเจ้าช้างแมมมอธเพื่อจะนำเอาเนื้อของเจาช้างแมมมอธนั้นนำเอามาทำเป็นอาหารจากนั้นก็นำเอาหนังของช้างแมมมอธนั้นมาทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม ในปัจจุบันก็ยังได้พบโครงกระดูกที่มีความสมบูรณ์มากที่สุดได้ถูกนำเอาไปจัดแสดงอยู่ที่Zoologica Museumที่ประเทศรัฐเซีย

 Doedicurus Clavicaudatus

สำหรับ Doedicurus Clavicaudatusนั้นมันได้สูญพันธุ์หายไปจากโลกเมื่อ11,000ปีก่อนซึ่งได้อาศัยอยู่แถวอเมริกาใต้ ซึ่งมันก็จะมีลักษณะที่ดูเหมือนกับตัวนิ่มและลำตัวของมันนั้นได้มีกระดองปกคลุมที่ดูเหมือนกับแผ่นเกล็ดที่มันได้เป็นกระดูกที่ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาจากเนื้อเยื่อทั้งนี้หัวและหางของมันก็มีส่วนที่เป็นเกล็ดเหมือนกันซึ่งมันจะมีหางของมันที่เป็นตุ้มนั้นเอาไว้ใช้สำหรับในการต่อสู้ สำหรับอาหารของมันนั้นมันก็จะชอบกินพืชผักเป็นอาหารมากกว่าและจะอาศัยรวมกันอยู่เป็นฝูงทั้นี้

โดยซากฟอสซิลของมันนั้นก้ได้ถูกค้นพบในแทบของอเมริกาใต้นอกจากนี้ทางด้านของเหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ยังได้วิเคราะห์ขึ้นมาอีกว่าในการสูญพันธุ์ของเจ้า Doedicurus Clavicaudatusนั้นมันอาจจะถูกล่าโดยจากมนุษย์กลุ่มแรกที่ได้ตั้งรกรากขึ้นมา เนื่องจากนี้ก็ได้มีการนำเอากระดูกมาจัดแสดงของส่วนหัวและในการจำลองของส่วนหนึ่งของเจ้า Doedicurus Clavicaudatus ที่ ROSE CENTER ที่สหรัฐอเมริกา

 Smilodon fatalisเสือเขี้ยวดาบ

สำหรับเจ้าเสือพันธุ์เขี้ยวดาบนั้นมันได้สูญพันธุ์ไปจากโลกเมื่อ10,000ปีที่แล้วซึ่งมันได้อาศัยอยู่ที่ยุโรปซึ่งมันได้มีขาด้านหน้ายาวกว่าขาด้านหลังของมันและยังมีหางที่สั้นรวมไปถึงเขี้ยวของมันนั้นมีความยาวและแบนที่มีส่วนโค้งเหมือนกับดาบ ซึ่งมันได้เป็นสัตว์ที่กินเนื้อและได้มีความดุร้ายมากกว่าเสือตัวอื่นๆ

และมันจะใช้เขี้ยวที่ใหญ่และแหลมคมของมันนั้นเอาไว้กระชากเหยื่อลักษณะในการออกล่าเหยื่อของมันนั้นก็จะเหมือนกับสิงโตในปัจจุบันนอกจากนี้ทางด้านนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ออกมาบอกถึงการสูญพันธุ์ของมันว่ามันได้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศในช่วงนั้นจึงทำให้เสือเขี้ยวดาบชนิดนี้สูญพันธุ์ไปในที่สุด

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  rb88 ล็อกอิน