ผู้เขียน: admin

ความลึกลับของดาวเทียม แบล็คไนท์

ดาวเทียม แบล็คไนท์ ย้อนกลับไปในสมัยเรียนทุกคนต่างก็รู้ดีว่าดาวเทียมที่ได้ส่งออกไปสำรวจอวากาศเป็นดวงแรกของโลกก็คือ สปุตนิก1 (sputnik 1) โดยได้ส่งออกไปโคจรรอบโลก ในวันที่ 4 ตุลาคม 1957

โดยได้ถูกส่งออกไปจากโครงการอวากาศของสหภาพโซเวียต

 แต่ใครจะรู้ว่าดาวเทียมดวงแรงที่ส่งออกไปแล้วได้พบกับวัตถุประหลาด ที่โคจรอยู่ในอวากาศอยู่ก่อนแล้ว จนกลายเป็นข่าวใหญ่โตในช่วงนั้น มีผู้คนมากมายหลายล้านคนที่ไห้ความสนใจกับเหตุการณ์นี้ แล้วมันก็ถูกตั้งชื่อว่าดาวเทียม แบล็คไนท์ (Black Knight Satellite)

 ดาวเทียมประหลาดที่โคจรอยู่นี้ ถ้าจะเรียกว่า UFO ก็คงไม่ผิดนัก เพราะคำว่า UFO นั้นย่อมาจากคำว่า Unidentified Flying Object

ซึ่งหมายความว่า วัตถุที่ผิดปกติบนท้องฟ้าที่ไม่สามารถอธิบายได้

 ในปี ค.ศ. 1899 ได้มีชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า นิโคลา เทสลา เป็นนักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ที่ได้สร้างหอคอยขนาดยักษ์ขึ้นในห้องทดลองของเขา หอคอยนี้ทำไห้เขาศึกษาไฟฟ้าในบรรยากาศ และพลังงานไร้สาย ในขณะที่เขากำลังทำการทดลองอยู่นั้น เขาก็ได้รับสัญญาณวิทยุประหลาดที่มาจากนอกโลก

 ตอนแรก นิโคลา เทสลา คิดว่าสัญญารมาจากที่ไหนสักแห่งในชั้นบรรยากาศ แต่เขาก็ได้รู้ว่ามันมาจากความสูงที่มากกว่าซึ่งมาจากนอกโลก นิโคลา เทสลา ตัดสินใจว่าสัญญาณนี้ได้ส่งมาจากสิ่งมีชีวิตนอกโลก แต่แวดวงวิทยาศาสตร์กับเพิกเฉยทฤษฎีของเขา

 แต่อีกไม่กี่ปีต่อมารายงานของ นิโคลา เทสลา ก็ได้รับการยืนยันจากผู้ประดิษฐ์วิทยุไร้สาย

กูลเยลโม มาร์โกนี นั้นได้รับสัญญาณที่คล้ายกันได้ ต่อมาในปี 1927 วิศวกรวิทยุชาวนอเวย์ ก็ได้สังเกตุเห็นสิ่งผิดปกติเมื่อเข้าได้ส่งสัญญาณวิทยุไปแล้วมันถูกส่งกลับมาในไม่กี่วินาทีต่อมา

 วิศวกรไม่ใช่คนเดียวที่ได้เห็นปรากฎการณ์นี้ ยังมีนักวิทยุอีกหลายคนที่ค้นพบและยืนยันสัญญาณหล่าวนี้ แต่ไม่มีใครที่อธิบายได้

ต่อมาในปี 1960 หนังสือพิมพ์ the new york times ได้ตีพิมพ์บทความซึ่งกล่าวไว้ว่า ได้ค้นพบดาวเทียมไร้เสียงที่ไม่ปรากฎขื่อ ได้มาโคจรรอบโลกบริเวณไกล้ขั้วโลก และยังไม่รู้ที่มาที่ไปของดาวเทียมลึกลับนี้ ซึ่งต่อมาได้ถูกเรียกว่าดาวเทียมแห่งความมืด

ต่อมาในปี ค.ศ. 1988 องการนาซ่า (Nasa) ก็ได้ถ่ายบันทึกภาพดาวเทียมดังกลาวไว้ได้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านอวกาศได้ไห้ความคิดเห็นว่าว่าเป็น น่าจะเป็นวัตถุที่ได้หลุดออกมาจากการปติบัตภาระกิจทางอวกาศเสียมากกว่า ดาวเทียม แบล็คไนท์ ได้กลายเป็นตำนานที่น่าสนใจมาก เราหาข้อมูลของมันได้เป็นเวลาหลายชั่วโมง เป็นการรวบรวมเรื่องราวและรายงานจากภาพถ่ายดาวเทียมจริง

 

สนับสนุนโดย    Lotto432 เข้าสู่ระบบ

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับดวงจันทร์

     เมื่อเรามองไปบนท้องฟ้าเราจะเห็นดวงจันทร์มีขนาดใหญ่โตมากซึ่งหลายคนนั้นเข้าใจว่าดวงจันทร์นั้นอยู่ใกล้โลกมากแต่คุณรู้หรือไม่ว่าแท้ที่จริงแล้วดวงจันทร์กับโลกนั้นห่างกัน โดยนักวิทยาศาสตร์ได้เคยมีการเข้าไปสำรวจและพบว่าในครั้งแรกที่มีการสำรวจพบว่าดวงจันทร์กับโลกนั้นห่างกันอยู่ที่ประมาณ 14000 ไมล์

        อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาเปลี่ยนไปจะเห็นได้ว่าดวงจันทร์กับโลกนั้นมีการหมุนห่างกันออกไปเรื่อยๆซึ่งจากการสำรวจของนักวิทยาศาสตร์

พบว่าในทุกๆปีนั้นโลกกับพระจันทร์จะห่างกันประมาณ 3.8 cm ซึ่งทำให้ล่าสุดนั้นผลการสำรวจพบว่าจากเดิมที่พบว่าห่างกันเพียงแค่ 14,000ไมล์ แต่ปัจจุบันนั้นห่างกัน 520,000 ไมล์แล้ว และเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆโลกกับพระจันทร์ก็จะยิ่งห่างกันออกไปเรื่อยๆนั่นเอง

และเมื่อเป็นเช่นนี้นักวิทยาศาสตร์ก็คำนวณแล้วว่าอีกช่วงประมาณ 600 ล้านปีนั้นจะทำให้เราแทบมองไม่เห็นดวงจันทร์และที่สำคัญเราจะมองไม่เห็นการเกิดจันทรุปราคาอีกต่อไปนั่นเอง 

          อย่างไรก็ตามเชื่อว่าหลายคนคงเคยรู้จักปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงกันมาบ้างแล้ว  เครื่องช่วยฟัง   และก็เคยศึกษากันมาบ้างแล้วว่าการเกิดน้ำขึ้นน้ำลงนั้นเกิดจากการแรงดึงดูดของดวงจันทร์เนื่องจากว่าแรงดึงดูดของดวงจันทร์นั้นมีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของน้ำในมหาสมุทร ซึ่งจะสังเกตได้ว่าน้ำนั้นจะขึ้นสูงสุดในวันที่พระจันทร์เต็มดวง

        นอกจากนี้ถ้าหากว่ามีการพูดถึงเรื่องของอุณหภูมิบนดวงจันทร์แล้วจะเห็นได้ว่าอุณหภูมิบนดวงจันทร์นั้นมีความผันผวนเป็นอย่างมาก

ซึ่งทำให้เรานั้นไม่สามารถไปอาศัยบนดวงจันทร์ได้นั่นเองจากการสำรวจของนักวิทยาศาสตร์พบว่าบริเวณพื้นที่ที่ใกล้เส้นสูงสุดของดวงจันทร์นั้นอุณหภูมิบนดวงจันทร์จะมีการเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าโลกถึง 279 องศาฟาเรนไฮน์หรือประมาณติดลบ 173 องศาเซลเซียส

ซึ่งเป็นอุณหภูมิบนดวงจันทร์ในช่วงเวลากลางคืนแต่ถ้าเป็นอุณหภูมิบนดวงจันทร์ในช่วงเวลาบ่ายภูมิกับอยู่ที่ 260 องศาฟาเรนไฮน์หรือ 127 องศาเซลเซียส  ซึ่งจะเห็นได้ว่าเวลากลางวันและเวลากลางคืนนั้นอุณหภูมิมีความผันผวนเป็นอย่างมากเลยทีเดียว 

        นอกจากนี้ถ้าหากเปรียบเทียบดวงจันทร์กับโลกในระยะเวลา 1 วันเท่ากันแล้วจากการสำรวจของนักวิทยาศาสตร์พบว่า 29 วันบนโลกเท่ากับ 1 วันบนดวงจันทร์ซึ่งเหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าดวงอาทิตย์ใช้เวลานานมากกว่าจะข้ามผ่านท้องฟ้าของดวงจันทร์ 

        ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเรื่องราวความรักของดวงจันทร์นั้นมีเยอะแยะมากมายเต็มไปหมดซึ่งเราคงต้องค่อยๆศึกษาค้นคว้ากันต่อไป เชื่อว่าไม่มีเรื่องไหน ที่นักวิทยาศาสตร์จะหาคำตอบไม่ได้ เพียงแต่อาจจะต้องใช้เวลานานหน่อยเท่านั้นเอง 

การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ 

         เมื่อพูดถึงไดโนเสาร์หลายคนคงชื่นชอบมันเป็นอย่างมากเพราะมันเป็นสัตว์ในตำนานที่มีความยิ่งใหญ่อลังการจะเห็นได้จากปัจจุบันนั้นคนมีการนำเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องของไดโนเสาร์ซึ่งเป็นสัตว์ในยุคดึกดำบรรพ์มาสร้างเป็นภาพยนตร์และละครต่างๆมากมายให้ผู้คนได้ชม

และได้รับรู้กันว่าในสมัยโบราณเมื่อหลายล้านปีมาแล้วนั้นโลกเราเคยมีสัตว์ที่ชื่อว่าไดโนเสาร์

ภาคมีหลายสายพันธุ์แต่มันก็เป็นเพียงแค่อดีตและปัจจุบันนั้นไดโนเสาร์ไม่มีจริงมีเพียงแค่ซากฟอสซิลที่เราสามารถพบเจอเพียงเท่านั้นซึ่งจะเห็นได้จากว่าทุกคนให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องของไดโนเสาร์เป็นอย่างมากเพราะมีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับไดโนเสาร์เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด

ในทั่วโลกที่เราสามารถเดินทางไปเยี่ยมชมได้แล้วมีการนำกระดูกไดโนเสาร์ซากฟอสซิลของไดโนเสาร์มาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวนั้นเยอะแยะมากมาย 

          อะไรก็ตามจากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ซึ่งตรวจสอบจากซากฟอสซิลที่ขุดเจอพบว่าไดโนเสาร์เคยมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก่อนที่มนุษย์และมันก็ได้สูญพันธุ์ไปก่อนที่มันจะเกิดขึ้นซึ่งการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์นั้นนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่ามันสูญพันธุ์มาแล้วมากกว่า 65 ล้านปี

อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์ได้มีการสงสัยและต้องการหาความรู้ว่าการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ครั้งใหญ่น้อยลงมีต้นเหตุหรือสาเหตุมาจากอะไร ซึ่งในยุคที่ไดโนเสาร์ยังคงมีอยู่มันเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ที่ทำให้ไดโนเสาร์ซึ่งเป็นสัตว์ยักษ์ใหญ่ต้องกลายเป็นสัตว์สูญพันธุ์หรือเป็นเพียงแค่ตำนาน 

        ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของนักวิทยาศาสตร์นี่เองที่ทำให้เกิดทฤษฎีต่างๆขึ้นมามากมาย เพื่อนำมาใช้เป็นคำอธิบายในการตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องของการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ซึ่งทฤษฎีต่างๆนั้นมีเพียงแค่ 2 ทฤษฎีใหญ่ๆที่มีความน่าจะเป็นไปได้มากที่สุดนั่นก็คือ  นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์นั้นเกิดขึ้นมา

จากการที่อาจจะมีอุกกาบาตหรือไม่ดาวหางดวงใหญ่ๆพุ่งมาชนโลก หรือ  ชุดตรวจ hiv    อาจจะเกิดจากการที่บนโลกใบนี้มีภูเขาไฟเกิดขึ้นและภูเขาไฟก็มีการเกิดการปะทุครั้งใหญ่ส่งผลทำให้เราอาศัยและทำให้ไดโนเสาร์นั้นถูกไฟจากลาวาคลอกตาย

         นอกจากนี้ถ้าหากว่าเรานึกว่ามีๆกรณีที่อุบาทว์ผู้ชมโลกหรือแม้แต่ภูเขาไฟระเบิดเหตุการณ์เหล่านี้จะส่งผลทำให้โลกใบนี้มีฝุ่นเต็มไปหมดแล้วด้วยตัวเองที่มันกระจายไปทั่วทำให้บดบังแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมายังโลกส่งผลทำให้สิ่งมีชีวิตภายในโลกใบนี้นั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างเช่นต้นไม้ก็อาจจะตาย

เพราะว่าไม่มีแสงแดดมาสังเคราะห์รวมถึงสัตว์ต่างๆก็อาจจะตายและสูญพันธุ์ได้ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าทฤษฎีนี้จะมีความเป็นไปได้ค่อนข้างจะร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็ไม่สามารถที่จะฟันธงได้เพราะไม่มีหลักฐานที่จะสามารถยืนยันทฤษฎีต่างๆที่นักวิทยาศาสตร์ได้ลองคิดขึ้นมาจึงทำให้ปัจจุบันนี้เรายังไม่สามารถรู้สาเหตุของการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ได้อย่างแท้จริงนั่นเอง 

คุณรู้หรือไม่ว่าสมองของไอสไตน์แตกต่างจากสมองของคนเราอย่างไร

คุณรู้หรือไม่ว่าสมองของไอสไตน์  เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักอัลเบิร์ตไอน์สไตน์กันเป็นอย่างดีเนื่องจากว่าเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากและเขาเป็นบุคคลที่ถือว่าฉลาดติดอันดับต้นๆของโลกเรียกได้ว่าเขาเป็นบุคคลอัจฉริยะเลยก็ว่าได้ซึ่งคุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมไอสไตน์

ถึงมีมันสมองที่ฉลาดกว่าบุคคลทั่วไปสมองของไอสไตน์และมีความแตกต่างจากสมองของคนทั่วไปอย่างไรซึ่งในบทความนี้เราจะมาหาข้อมูลและมาทำการวิเคราะห์กัน

        อย่างไรก็ตามคุณรู้หรือไม่ว่าหลังจากที่ ไอสไตน์ ได้เสียชีวิตลงนั้นเขาก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีด้วยหลังจากที่เขาตายไปยังไม่เกิน 8 ชั่วโมงนายแพทย์ก็ได้มีการผ่าเอาสมองของไอสไตน์ออกมาเพื่อดูว่าสมองของเขานั้นมันแตกต่างจากสมองของคนทั่วไปอย่างไรจึงจะสามารถได้ข้อพิสูจน์เกี่ยวกับเรื่องของความแตกต่างของสมองของไอสไตน์และสมองของคนทั่วไปนั่นเอง 

       อย่างไรก็ตามหากใครที่มีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของชีววิทยาจะทราบเกี่ยวกับเรื่องของการทำงาน  มั่งมีหวย    ของระบบสมองซึ่งสมองของคนเรานั้นแบ่งออกเป็นหลายส่วนทั้งสมองส่วนหน้าสมองส่วนกลางและสมองส่วนหลังซึ่งสมองแต่ละส่วนนั้นก็จะมีหน้าที่แตกต่างกันออกไป

อย่างเช่นสมองส่วนที่ควบคุมเกี่ยวกับเรื่องของอารมณ์ระบบประสาทต่างๆไม่ว่าจะเป็นความดันอุณหภูมิร่างกายความหิวความง่วงทั้งหมดก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมของสมองส่วนที่เรียกว่าไฮโปทาลามัสนั่นเอง

           หรือถ้าหากว่าเกี่ยวกับเรื่องของความจำความรู้ต่างๆก็จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของเซรั่มหรือแม้แต่กล้ามเนื้อ

การสั่งการเรื่องของการกินอาหารการเคี้ยวอาหารการได้รสกลิ่นเสียงต่างๆก็จะมีส่วนอื่นๆที่เข้ามาดูแลดังนั้นความแตกต่างของสมองของไอสไตน์และสมองของคนเราก็จะแตกต่างจากสมองส่วนนี้เพราะไอน์สไตน์นั้นจะมีสมองส่วนที่เป็นอัลบั้มซึ่งเป็นสมองส่วนที่มีความรู้ความจำความเข้าใจเป็นอย่างดีนั้นใหญ่กว่าสมองส่วนอื่นๆของร่างกายนั่นเองทำให้เขามีความจำเป็นเลิศมีความฉลาดมากกว่าคนธรรมดาทั่วไปนั่นเอง 

            อย่างไรก็ตามสมองทุกส่วนเนื้อมีความสำคัญต่อร่างกายทั้งหมดถ้าหากว่าสมองส่วนใดส่วนหนึ่งนะสูญเสียหรือไม่ครบประกอบชำรุดก็จะทำให้บุคคลดังกล่าวนั้นกลายเป็นบุคคลที่ไม่สมประกอบก็เป็นไปได้เช่นสมองส่วนที่สั่งการเกี่ยวกับเรื่องของการกินอาหารการแสดงกล้ามเนื้อใบหน้า

หรือการได้กลิ่นการรับรสถ้าสมองส่วนนี้มีปัญหาบกพร่องก็อาจจะทำให้การเคี้ยวอาหารการกินอาหารทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพหรืออาจจะกินอาหารไม่ได้เลยก็เป็นไปได้จะต้องมีการกินอาหารผ่านทางสายยางหรือถ้าเกิดว่าสมองส่วนที่เป็นไฮโปทาลามัสมีความบกพร่องก็จะทำให้ร่างกายนั้นไม่แข็งแรงมีอาการหงุดหงิดง่ายเป็นต้น

จักรวาลคู่ขนาน Anti Universe

จักรวาลคู่ขนาน Anti Universe  เชื่อว่าหลายคนคงน่าจะคุ้นหูกับคำว่า Anti Universe ที่ดอกเตอร์ สเตรนจ์ ได้เอ่ยถึงหลังจากที่ทางปีเตอร์ปาร์คเกอร์สไปเดอร์แมนของเราในเวอร์ชั่น Marvel ได้ขอให้ทาง Doctor สเตรนจ์นั้น 

ได้แก้ไขลบความทรงจำบางสมนุษย์โลกเพื่อแก้ไขบางสิ่งบางอย่างที่เขานั้นเคยทำผิดพลาดแต่ระหว่างที่ ดร. สเตรนจ์

กำลังร่ายคาถาเกิดการก่อกวนจากปีเตอร์ปาร์คเกอร์เนื่องจากเขามีความต้องการให้คนบางคนที่เขายังรักนั้นจำเขาได้อยู่นั้นจึงทำให้คาถาของ ดร. สเตรนจ์นั้นเกิดความแปรปรวนจนทำให้โลกคู่ขนานจากหลายมิติเดินทางมายังโลกปัจจุบันของเรานั้นเองจึงเป็นสาเหตุให้สไปเดอร์แมนทั้งสภาพ

หรือถ้าต่างภาพยนตร์จะเรียกว่าสไปเดอร์แมนจากทั้งสามโลกนั้นมาเจอกันรวมถึงเหล่าวายร้ายที่มาจากมิติอื่นๆเช่นเดียวกันนี้จึงเป็นที่มาของคำว่า มัลติเวิร์ส 

             ที่นี้เมื่อเราดูภาพยนตร์แล้วคำว่า มัลติเวิร์ส ดูจะไกลจากความเป็นจริงมากๆเพราะว่าใครจะไปคิดว่าในทุกๆวันที่เราดำเนินชีวิตอยู่นั้น

จะมีอีกมิติหนึ่งที่มีวิถีชีวิตที่ดำเนินอยู่เหมือนกับเราอยู่ด้วยแต่เราเรื่องราวเหล่านี้ก็ไม่ไกลเกินเอื้อมเนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ได้พบทฤษฎีใหม่ที่ว่าโลกคู่ขนานหรือจักรวาลคู่ขนานนั้นอาจจะมีอยู่จริง

              ย้อนกลับไปราวกับหมื่นพันล้านปีก่อนจักรวาลของเรานั้นได้ถือกำเนิดขึ้นโดยระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่าการระเบิดบิกแบง   สำหรับการระเบิดบิกแบงก่อให้เกิดพลังงานมหาศาลครั้งยิ่งใหญ่ต่างจากน้อยใหญ่มากมายรวมถึงแหล่งรวมพลังงานในจักรวาลดาวฤกษ์นับไม่ถ้วนแต่แล้วการระเบิดบิกแบงและการกําเนิดจักรวาลในครั้งนั้นมันไม่ได้ให้สร้างจักรวาลที่เราอาศัยอยู่เพียงจักรวาลเดียวแต่มันสร้างจักรวาลคู่ขนานหรือ  Anti Universe ขึ้นมาด้วย

            โดยที่ Anti Universe  เป็นจักรวาลสะท้อนของจักรวาลของเราเหมือนภาพเราในกระจกเรื่องราวเหล่านี้ถูกศึกษาจากนักวิทยาศาสตร์สถาบัน เพเรมิเตอร์จากประเทศแคนาดาบัวขาวศึกษาเรื่องราวของหรือทางฟิสิกส์และจักรวาลซึ่งพบว่ามีความเป็นไปได้ที่  alpha88   เมื่อครั้งกำเนิดจักรวาลนั้นจะมีการเกิด  Anti Universe ขึ้นมาพร้อมกัน

ด้วยจะดำรงไปสวนทางกับจักรวาลของเราโดยที่ Anti Universe เวลาจะเดินถอยหลังตรงกันข้ามกับจักรวาลของเราที่ดำรงชีวิตอยู่ซึ่ง Anti Universe นอกจากเวลาจะสวนทางกับจักรวาลของเราแล้ว สสารของมันทั้งหมดก็จะตรงข้ามกับเราด้วยกลายเป็น antimatter ตามทฤษฎีสมมาตร 

        ในทุกๆอนุภาคทุกๆเวลาจะมีด้านสมมาตรที่เป็นคู่ตรงข้ามเสมอซึ่งทฤษฎีนี้เองอาจช่วยขยายความเรื่องสสารมืดสสารพลังงานลึกลับที่โลกไม่สามารถระบุได้ว่ามันเกิดขึ้นที่ไหนเพราะหากจักรวาลของเรามี Anti Reverse จริงๆในอ จะน่าจะมีการรวมกลุ่มมีพลังงานและมีสสารที่เรานั้นยังไม่เคยรู้จักและไม่สามารถศึกษาได้ 

ใช้คำที่เชื่อมโยงกัน

โลกของเราใบนี้มีสิ่งที่เรายังไม่ได้เรียนรู้อีกมากมาย และเชื่อได้เลยว่าใครหลายๆคนก็อาจจะยังไม่เคยได้เรียนรู้สิ่งที่อยู่ใกล้ตัว

      ใช้คำที่เชื่อมโยงกัน แม้แต่สิ่งที่เราคิดว่าเรารู้จักมันดี เราก็อาจจะไม่รู้จักมันเลยก็เป็นไปได้ อย่างเรื่องราวที่เรากำลังจะพาทุกคนไปทำความรู้จักในวันนี้นั้น เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการใช้คำเชื่อมโยง   การใช้คำเชื่อมโยง หลายคนอาจจะมองว่าเรากำลังจะพูดถึงเรื่องราว ที่เกี่ยวข้องกับภาษา ใช่มันเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับภาษาและการใช้คำ

  แต่ทว่ามันคือเคล็ดลับในการจดจำสิ่งต่างๆให้ได้เร็วมากกว่าคนอื่นนั้นเองซึ่งจะมีความน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน  เราไปทำความรู้จักและติดตามมันพร้อมกันเลยดีกว่า

มีหลายสิ่งหลายอย่างต่างๆมากมาย ที่มีความเชื่อมโยงกันไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ ภาษา หรือแม้แต่ละวัฒนธรรม ที่คุณอาจยังไม่เคยได้รับรู้มาก่อน  แน่นอนสิ่งที่เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักในวันนี้นั้น เป็นเคล็ดลับในการทำสิ่งต่างๆให้ได้เร็วมากกว่าคนอื่น ทำไมเราถึงหยิบยกคำเชื่อมโยงขึ้นมา เพราะว่าสิ่งที่เรากำลังจะพาทุกคนไปทำความรู้จักในวันนี้ มันเป็นเทคนิคและเคล็ดลับในการเชื่อมโยงคำ คำแต่ละคำนั้น 

    มีความหมายที่แตกต่างกัน อย่างเช่น ในภาษาไทย ถึงแม้ว่าความหมายแตกต่างกัน แต่ทว่ามันก็มีการออกเสียงเหมือนกัน หรือแม้แต่ออกเสียงเหมือนกัน แต่ว่าเขียนแตกต่างกัน ดังนั้นแล้วเราจึงหยิบยกเทคนิคจังหวะนี้ขึ้นมาพูดถึง เกี่ยวกับการใช้คำเชื่อมโยงกันนั้นเอง

เทคนิคนี้คือการเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนรู้ ในสิ่งที่ยังไม่เคยเจอ ตัวอย่าง เช่น หากคุณต้องการจดจำ  alpha88    คำว่ากังฟูในภาษาฝรั่งเศส คุณควรเชื่อมกับคำว่ากำแพง และคำอื่นๆที่คุณสามารถเชื่อมโยงกับกังฟูได้อย่างมีเหตุผล แน่นอนว่าเคล็ดลับดังกล่าวนั้น เป็นสิ่งที่เราได้พูดถึงไปเพียงนิดหน่อยเท่านั้นของข้อมูลทั้งหมด 

ซึ่งตัวอย่างดังกล่าวมาให้ทุกคนที่ไปลองศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับเทคนิคดังกล่าวเพิ่มเติมดู เพราะว่าคุณจะได้เรียนรู้และจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นไปเพิ่มเติมอีกด้วยอย่างไรก็ตามนอกจากการเชื่อมคำ ที่มีความเชื่อมโยงกันแล้ว  ก็ยังมีเคล็ดลับอีกมากมายที่ทำให้เราสามารถจดจำสิ่งต่างๆได้รวดเร็วมากกว่าคนอื่น

ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความจำของตนเอง ซึ่งก็จะต้องพูดถึงตัวละครถ้าหากว่าพูดถึงทฤษฎีดังกล่าวนี้ หรือแม้แต่เรียนรู้สิ่งที่ตรงกันข้าม สำหรับสิ่งที่ตรงกันข้าม ถ้าหากว่าเราได้มีการเรียนรู้เราก็จะสามารถแยกออกว่า มันแตกต่างกันยังไงบ้างแล้วก็จะทำให้เราได้จดจำมันได้เร็วเพิ่มขึ้นนั่นเอง

เรียนรู้สิ่งที่ตรงกันข้าม

เราไม่อาจจะปฏิเสธถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ และเรื่องราวที่จะนำเสนอในวันนี้เป็นเรื่องราวที่ใครหลายคนอาจยังไม่เคยได้รับรู้มาก่อน มันสิ่งที่เราได้เกิดการเรียนรู้และทำมันจนเป็นสิ่งที่เกิดเป็นรูปแบบหรือเป็นเคล็ดลับ  ที่จะทำให้คุณนั้นทำสิ่งต่างๆได้เร็วเพิ่มมากยิ่งขึ้น

ซึ่งเคล็ดลับดังกล่าวนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องราวที่น่าเกลียดอะไรมากนัก  มันก็คือการเรียนรู้สิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามนั้นเอง  การเรียนรู้สิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามจะทำให้เราจำเร็วขึ้นได้อย่างไร ในวันนี้เรามีคำตอบเกี่ยวกับคำถามดังกล่าวนี้

เรียนรู้สิ่งที่ตรงกันข้าม แน่นอนว่ามีเคล็ดลับต่างๆมากมาย ที่เรานำมาใช้ในการเอาชีวิต อยู่รอดในการเรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายบนโลกใบนี้ และเรื่องราวที่มีความน่าสนใจที่เรากำลังจะพาทุกคนไปทำความรู้จัก เป็นเคล็ดลับในการจดจำสิ่งต่างๆให้ได้เร็วมากกว่าคนอื่น  แต่แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้อาจจะเคยเกิดกับหลายคนโดยไม่รู้ตัว และบางคนก็ได้มีการนำเอามาใช้ 

ซึ่งหลายคนก็ทำมันได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการที่เราพยายามเข้าใจสิ่งที่เราได้เรียนรู้มา  การที่เราพยายามเรียนรู้ทำความเข้าใจกัน ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆเลยทีเดียวมันจะทำให้เราได้ทบทวนข้อมูลที่เราได้รับมา  หรือแม้แต่การเรียนรู้ข้อมูลที่จำเป็นที่สุด และก็ส่วนที่สำคัญที่สุดในตอนต้นและตอนท้าย

หรือแม้แต่ทฤษฎีการรบกวน ซึ่งทฤษฎีดังกล่าวนี้ก็พูดถึง เกี่ยวกับทฤษฎีการรบกวนสิ่งรบกวนต่างๆ  หวยดี    ถ้าหากว่าเรากำลังสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่  แน่นอนว่าเราไม่สามารถตรวจสอบมันได้ดังนั้นแล้วเราควรที่จะไปทำในสิ่งอื่น ที่ไม่ใช่สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ก่อน  ก่อนที่เราจะกลับมาเรียนรู้สิ่งที่เรากำลังเรียนรู้อยู่ก่อนหน้านี้

แน่นอนทฤษฎีหรือว่าเรื่องราวที่เป็นเคล็ดลับ  ที่เรากำลังจะพูดถึงนั้นมันเกี่ยวกับสิ่งที่ตรงกันข้าม  การเรียนรู้สิ่งที่ตรงกันข้าม  สิ่งที่ตรงกันข้ามตามการบันทึกของนักจิตวิทยา ระบุว่าจะจดจำได้ง่าย  ตัวอย่าง เช่น หากคุณกำลังเรียนรู้ลักษณะทางกายภาพของโลก ก็เพียงให้จดจำกลางวันและกลางคืนเป็นคู่ 

วิธีนี้คุณจะสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสองสิ่งนี้ในใจของคุณ  ดังนั้นหากคุณลืมเรื่องหนึ่งในนั้น คำที่ตรงกันข้ามจะช่วยให้คุณจำได้เอง  นอกจากสิ่งที่เราที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว  ก็ยังมีอะไรอีกมากมายที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมากเลยทีเดียว  ถ้าหากคุณอยากที่จะทำความรู้จักหรือว่าศึกษาเรื่องราวสิ่งต่างๆเหล่านี้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเคล็ดลับในการจดจำสิ่งต่างๆก็สามารถที่จะทำการศึกษาได้เรียนรู้เกี่ยวกับมันได้

พยายามเข้าใจสิ่งที่คุณเรียนรู้

หลายสิ่งหลายอย่างมากมายที่เราเองนั้นอาจจะยังไม่เคยได้รับรู้มาก่อน เกี่ยวกับสิ่งที่ใกล้ตัวของเราเป็นอย่างมากเช่นเดียวกันกับเรื่องราวที่เรากำลังจะพาทุกคนไปทำความรู้จักในวันนี้นั้น 

มันเป็นเคล็ดลับในการจดจำสิ่งต่างๆให้ได้เร็วกว่าคนอื่นจึงเชื่อได้ว่าใครหลายคนก็อยากที่จะเรียนรู้เคล็ดลับดังกล่าวนี้เพราะจะนำไปใช้ในการจดจำสิ่งต่างๆโดยเฉพาะในการอ่านหนังสือสอบหรือว่าในการเรียน เรื่องราวดังกล่าวนี้จะ    มีความน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน ไปทำความรู้จักกันพร้อมกันเลยดีกว่า 

มีหลายสิ่งหลายอย่างเป็นทางมากมาย ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการการจดจำ กระบวนการคิดหรือแม้แต่กระบวนการทำงานของระบบต่างๆในร่างกายของเรานั้น 

ที่เราจำเป็นที่จะต้องศึกษามันเอาไว้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว  อย่างไรก็ตามสำหรับเรื่องราวที่เรากำลังจะพาทุกคนไปทำความรู้จักในวันนี้นะเป็นเคล็ดลับในการจดจำสิ่งต่างๆให้ได้เร็วกว่าคนอื่น

  ซึ่งแน่นอนมีหลายคนที่กำลังศึกษาค้นคว้าเรื่องดังกล่าวนี้ เรื่องดังกล่าวก็คือ  การที่เราจะต้องพยายามเข้าใจสิ่งที่เรานั้นได้พยายามเข้าใจสิ่งที่คุณเรียนรู้ เรียนรู้มา  ซึ่งเคล็ดลับดังกล่าวนี้น่าสนใจมากน้อยแค่ไหนเราจะพาทุกคนไปทำความรู้จัก และศึกษาเรื่องราวต่างๆเหล่านี้กัน  แน่นอนบางคนเรียนรู้ถึงความรู้สึกเวลาที่กำลังเรียนรู้บางอย่าง  แต่คุณไม่เข้าใจข้อมูลนั้นปกติหรือไม่ แน่นอนหากมันผิดพลาดแล้วการเรียนรู้ดังกล่าวจะไม่รู้เรื่องเลย

เพราะมันเป็นเหมือนการเรียนรู้บทกวี  ที่แปลไม่ออก  สิ่งที่ไม่ดีอีกอย่างของการเรียนรู้  สิ่งที่คุณไม่เข้าใจก็คือ  ถ้าคุณลืมบางส่วนคุณจะไม่สามารถเรียนรู้ต่อได้จำได้  นั่นเป็นเหตุผลที่เราไม่แนะนำให้ทำเช่นนี้  สิ่งที่ควรทำ คืออ่านข้อมูลทั้งหมดและหาว่าประเด็นหลัก คืออะไร พยายามทำความเข้าใจ 3 สิ่งที่คุณอ่าน โดยใช้ภาษาของคุณเอง

  พยายามทำให้มันง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้  ถ้าคุณทำได้แสดงว่าคุณเข้าใจข้อมูลด้านๆแล้ว  และตอนนี้การจดจำรายละเอียดจะทำได้ง่ายขึ้น  แน่นอนว่าการจดจำบางสิ่งบางอย่างของแต่ละคนนั้น  มีความแตกต่างกันออกไปบางคนจำได้เร็ว  บางคนจะไม่ช้าหรือบางคนอาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการจำในระยะเวลานาน  หรือบางคนทำสิ่งต่างๆที่ต่างกันออกไป 

บางคนจำเป็นภาพบางคนจำเป็นแผนผัง  บางคนจะเป็นตัวหนังสือ  หรือแม้แต่คำพูดใดๆก็ตาม  เรื่องดังกล่าวนี้ยังมีอะไรอีกมากมาย  ที่เรายังไม่ได้พูดถึง  ถ้าหากคุณสนใจอยากจะทำความรู้จักเพิ่มเติม  ก็สามารถที่จะทำได้เช่นเดียวกันแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะง่ายและเป็นตัวช่วยที่ดีในการจดจำเรื่องที่สำคัญ

 

สนับสนุนโดย  aesexy

ปรากฎการณ์เลนส์ความโน้มถ่วงเป็นทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์

ซึ่งถ้าหากว่านำไปเปรียบเทียบแล้วยังมีดาวอีกนับแสนดาวที่เป็นส่วนหนึ่งของแค่แกแล็คซี่แล้วก็ไม่สามารถที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนเนื่องด้วยดาวอาจจะมีขนาดเล็กแล้วก็แกแล็คซี่กว้างใหญ่แล้วก็ยังมีระยะทางที่ไกลจากโลกมาก การสังเกตไม่ใช่ง่ายเลย 

ปรากฎการณ์เลนส์ความโน้มถ่วง แกแล็คซี่ทั้งแกแล็คซี่ถ้าหากว่าเราส่องโดยใช้กล้องโทรทรรศน์ที่มีประสิทธิภาพสูงเวลาส่องออกไปนอกโลกยังเห็นเพียงแค่เป็นรอยขนาดเล็กๆจางๆเพียงแค่จุดนึงเท่านั้นเอง แต่ว่าปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การสังเกตุการณ์ดาวดวงนี้มีความเป็นไปได้ก็คือปรากฎการณ์ที่เรียกกันว่าเลนส์ความโน้มถ่วงนั่นเองเป็นทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ที่ได้คาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าแรงโน้มถ่วงที่มหาศาลของกระจกแกแล็คซี่นี้

ซึ่งมันหาจจะสามารถเบี้ยงทางเดินของแสงได้ถ้าหากว่ากระจกแกแล็คซี่มีตำแหน่งที่อยู่ในแนวเดียวกันกับเส้นทางเดินของแสงจากวัตถุที่อยู่ห่างไกลออกไปแบบพอดีแสงของวัตถุเหล่านี้มันก็จะโค้งงอออกไปในลักษณะเดียวกันกับเลนส์โดยในกรณีของดาวฤกษ์Earendelนี้

แรงโน้มถ่วงอันมหาสารจากกระจกแกแล็คซี่ยักษ์ที่มีชื่อว่า WHL013708 ที่ตั้งอยู่บริเวณเบี้ยงหน้าก็จะทำให้การอวกาศบิดเบี้ยวออกไปก็จะเปรียบเสมือนกับว่าหิวน้ำที่มันพือไปมาทำหน้าที่คล้ายๆกับเลนส์ทำให้แสงดวงอาทิตย์รวมแสงกันแล้วก็ตกลงเป็นริ้วที่บริเวณก้นสระน้ำนั่นเอง

เนื่องจากนี้แสงจากดาวฤกษ์Earendelนี้ก็จะถูกเลนส์ความโน้มถ่วงทำให้มันดูบิดเบี้ยวออกไปแล้วก็แสงบางส่วนจะถูกอ้อมไปในลักษณะที่บังเอิญมารวมกันอีกครั้งหนึ่งที่บริเวรตำแหน่งของโลกพอดีเลยทำให้ดาวสว่างจากเดิมเพิ่มเติมไปอีกหลายพันเท่าเลย

จนกระทั่งมันจะมีความสว่างที่เพียงพอที่กล้องโทรทรรศน์อวกาศสามารถสังเกตุเห็นได้นั่นเองสถิติของดาวฤกษ์ที่อยู่ไกลที่สุดที่เราเคยสังเกตุกันก่อนหน้านี้ก็ค้นพบโดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศในตอนนั้นก็เป็นดาวที่เรียกกันอีกชื่อหนึ่งเป็นดาวที่อยู่ห่างจากโลกประมาณ9,400ล้านปีแสงเกิดขึ้นกว่า4,000ล้านปี

หลังจากที่จักรวาลก่อตัวซึ่งดาวดังกล่าวนี้ก็ยังถือได้ว่ามีความสว่างที่น้อยกว่าดาวEarendelที่เพิ่งจะมีการค้นพบประมาณหนึ่งล้านเท่าเลยทีเดียวการศึกษาองค์ประกอบของดาวEarendelในอนาคตจะช่วยให้นักดาราศาสตร์นำข้อมูลตรงนี้มาช่วยยืนยันว่าดาวดวงนี้อาจจะเป็นดาวฤกษ์ในยุคแรกเริ่มก็คือยุค lf all goes to plan it could แล้วจะเป็นดาวในช่วงแรกๆที่นักดาราศาสตร์กำลังค้นหากันอยู่และตอนนี้จะกลายเป็นเป้าหมายตอนไปในการนำกล้องโทรทรรศน์อวกาศที่ส่งไปบนอวกาศ

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  alpha88

สารเคมีระเหยที่ส่งผลต่อรสชาติ

สารเคมีระเหยที่ส่งผลต่อรสชาติ เหตุใดจึงจะได้ผล เมื่อเร็วๆ นี้ในขนมคาราเมลเค็มได้แสดงให้เราเห็น รสเค็มและรสหวานทำงานร่วมกันโดยเนื้อแท้ มันสร้างสิ่งที่เรียกว่า การแบ่งชั้นนี้ทำให้สมองตอบสนองด้วยสัญญาณเชิงบวก โดยสัมผัสได้ถึงความหวานและเชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรตในสมอง และเกลือ ซึ่งมีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกาย และสับปะรดก็อัดแน่นในแผนกความหวานอย่างแน่นอน ประมาณ 12-15%

ของน้ำหนักสับปะรดมาจากน้ำตาล ส่วนใหญ่เป็นซูโครส แต่ยังรวมถึงกลูโคสและฟรุกโตสด้วย อย่างไรก็ตาม สับปะรดยังมีความเป็นกรดค่อนข้างมาก โดยมีค่า pH อยู่ระหว่าง 3-4 ขึ้นอยู่กับความหลากหลาย (สำหรับบริบท น้ำมะนาวมีค่า pH ระหว่าง 2-3) เช่นเดียวกับในกระป๋องโคล่า

ซึ่งเป็นกรดที่น่าประหลาดใจเช่นกัน ที่ pH 2-3 – น้ำตาลจะช่วยชดเชยความฝาดเผ็ดร้อนแสบลิ้นและทำให้อร่อยและน่ารับประทาน

ที่อุณหภูมิความร้อนต่ำ กลิ่นหอมของผลไม้จะถูกปล่อยออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ความเข้มข้นของมันจะต่ำลงเรื่อยๆ เมื่ออุณหภูมิและเวลาในการทำความร้อนเพิ่มขึ้น – Zhimin Xu อย่างไรก็ตาม บางคนมีความอ่อนไหวต่อรสนิยมบางอย่างมากกว่าคนอื่นๆ

คิดว่าปัจจัยทางพันธุกรรมมีบทบาทในการที่เราแต่ละคนชอบรสเปรี้ยวมากเพียงใด และนักวิทยาศาสตร์พบว่าผู้ที่มียีนที่แปรผันเฉพาะที่เรียกว่า TAS2R38 อาจมีความรู้สึกไวต่อสารประกอบที่มีรสขมไม่มากก็น้อย

ในทำนองเดียวกัน ความชื่นชอบในรสหวานของเราก็ได้รับอิทธิพลจากยีนของเราเช่นกัน และอาจส่งผลต่อปริมาณอาหารที่มีน้ำตาลที่เรารับประทานเข้าไป เป็นไปได้ว่าไม่ว่าใครจะชอบสับปะรดบนพิซซ่าหรือไม่ก็ตาม ล้วนแล้วแต่มาจากยีนของพวกเขา

สิ่งนี้เหมาะสมยิ่งขึ้นเมื่อคุณพิจารณาว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อสับปะรดสุก Zhimin Xu นักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารผู้ศึกษาสารเคมีระเหยที่ส่งผลต่อรสชาติของ Louisiana State University Agricultural Center ในแบตันรูช

กล่าวว่า “ปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้นได้หลายอย่าง เนื่องจากมีน้ำตาลและกรดอินทรีย์อยู่เป็นจำนวนมาก เนื่องจากมีน้ำตาลและกรดอินทรีย์อยู่เป็นจำนวนมาก

เรา. เขาและเพื่อนร่วมงานได้ศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นกับสับปะรดอย่างแน่นอนเมื่อปรุงสุกที่อุณหภูมิต่างกัน “ที่อุณหภูมิการให้ความร้อนต่ำ กลิ่นหอมของผลไม้จะถูกปล่อยออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ความเข้มของมันจะลดลงและลดลงตามอุณหภูมิและเวลาในการให้ความร้อนที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่กลิ่นหอมคล้ายขนมปังจะเพิ่มขึ้นในระหว่างการให้ความร้อน” เขากล่าว “สับปะรดอุ่นยังมีรสหวานอมเปรี้ยวน้อยกว่าเมื่อเทียบกับสับปะรดสด”

แต่เมื่อสับปะรดถูกความร้อนที่อุณหภูมิสูง สิ่งต่างๆ ก็เริ่มน่าสนใจ พิซซ่าแช่แข็งและซื้อจากร้านค้าส่วนใหญ่ปรุงในเตาอบในประเทศที่บ้านใช้เวลา 10-20 นาทีในอุณหภูมิ 200C-220C (392F-428F) แต่ในเตาอบพิซซ่าที่ทำด้วยไม้ อุณหภูมิอาจสูงถึง 500C (932F) และพิซซ่าต้องการ น้อยกว่าสองสามนาที Xu และเพื่อนร่วมงานพบว่าที่อุณหภูมิระหว่าง 200C-225C (392F-437F) ความสมดุลของสารประกอบระเหยง่าย ซึ่งกลายเป็นไอได้ง่ายที่อุณหภูมิห้องและมักทำให้เกิดกลิ่นและรสในอาหาร เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างมาก อาจเป็นได้ว่าบางคนอาจไม่ชอบรสหวานของสับปะรดเมื่อทานกับส่วนผสมของพิซซ่ารสเค็ม เช่น แฮม ไส้กรอก ชีส  

ประการแรก ปริมาณของสารประกอบที่เรียกว่าเอทิลอะซิเตท ซึ่งทำให้สับปะรดมีกลิ่นผลไม้ ลดลงอย่างมากที่อุณหภูมิสูงขึ้น ในขณะเดียวกันระดับของสารประกอบที่เรียกว่า เฟอร์ฟูรัล ซึ่งให้รสอัลมอนด์และขนมปัง เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่หลายคนพบว่าสิ่งนี้น่าดึงดูดใจ รสขมของอัลมอนด์เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับความคิดเห็นเป็นประจำ

เมื่อทดสอบด้วยอุณหภูมิสูงสุด อย่างไรก็ตาม สารประกอบคาราเมล 5-methyl furfural ที่มีรสหวานกลายเป็นสารที่โดดเด่นเป็นอันดับสองรองจาก furfural ซึ่งช่วยเพิ่มกลิ่นหอมหวานเหนือผลไม้ของสับปะรดสด Xu สงสัยว่าผลไม้รสหวานนี้ในขณะที่ทำอาหารอาจเป็นหัวใจสำคัญว่าทำไมคนจำนวนมากถึงรู้สึกหนักแน่นเกี่ยวกับการปรากฏตัวของมันบนพิซซ่า

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    มั่งมีหวย